รีวิวโครงการ

Ideo Sukhumvit – Rama 4 (ไอดีโอ สุขุมวิท – พระราม 4) คอนโด High Rise ติดถนนพระราม 4 ใกล้ BTS พระโขนง จาก Ananda

6 กันยายน 2024

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 2007 … สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพามารีวิวโครงการ Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 จาก Ananda ซึ่งเป็นคอนโด High Rise ใกล้ BTS พระโขนง ที่ออกแบบส่วนกลางเน้นความเป็นธรรชาติ สวยงาม และน่าใช้งานมากๆ รวมถึงภายในห้องพักอาศัยก็มีการปรับฟังก์ชันใหม่หลายๆส่วน และได้นำมาใช้ในโครงการนี้เป็นแห่งแรกของอนันดาอีกด้วย จะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 3 December 2019

  • Ideo Sukhumvit – Rama 4 (ไอดีโอ สุขุมวิท – พระราม 4)
  • บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน)
  • HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนน พระราม 4 เขต คลองเตย
  • ที่ดินประมาณ 3-2-50.9 ไร่
  • คอนโด High Rise 32 ชั้น 1 อาคาร 642 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 26 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 340 คัน คิดเป็น 53% (โดยประมาณ)
  • เริ่มก่อสร้าง :  พ.ค. ปี 2563
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ก.ค. ปี 2565
  • Studio 29.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 34.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus 44 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
  • 2 Bedroom 65 – 75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.34 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.9 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท (Promotion)
  • ราคาต่อตารางเมตร ประมาณ 140,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 02 316 2222

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.712991, 100.589995
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการครับ

โครงการ  Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 ตั้งอยู่ติดกับถนนพระราม 4 ค่อนมาทางฝั่งสุขุมวิท (เกือบถึงแยกพระโขนง) ถือเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่มีมานานแล้วเหมือนกันนะครับ แต่เพิ่งจะมีการพัฒนาและคึกคักมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะแต่ก่อนความเจริญสูงสุดของถนนสุขุมวิทจะอยู่ที่ พร้อมพงษ์ ทองหล่อ และมาสิ้นสุดที่เอกมัย จากนั้นก็จะกระโดดข้ามไปอ่อนนุชเลย (สมัยที่ BTS อ่อนนุช ยังเป็นสถานีปลายทาง ผมยังเรียนมัธยมอยู่เลย ฮ่าๆๆ) ส่วนถ้าเป็นบนถนนพระราม 4 ก็จะเป็นช่วงตลาดคลองเตย และ K Village โน่นเลยครับ

แต่พอมีคอมมูมิตี้มอลล์ใหม่อย่าง Summer Hill และ W District มาเปิดตัวที่สถานีพระโขนงนี้ ก็ทำให้กลายเป็นอีกย่านที่คึกคักและสะดวกสบาย เหมาะแก่การอยู่อาศัยมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ Developer หลายๆเจ้า เริ่มให้ความสนใจมาเปิดโครงการในทำเลนี้กันอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าเรามองทำเลเพื่อนบ้านอย่างเอกมัย-ทองหล่อ ก็เป็นย่านที่มีราคาค่อนข้างสูง ส่วนอ่อนนุชที่เคยฮ็อตมาก่อนหน้านี้ตอนนี้ ก็เริ่มหนาแน่นมากขึ้นแล้วเหมือนกัน ดังนั้นย่านพระโขนงจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ของคนที่อยากได้ทำเลที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เดินทางสะดวก และอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การอยู่อาศัยครับ

สำหรับรถไฟฟ้า BTS พระโขนง จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 350 m. ซึ่งเป็นระยะที่วัดจากการเดินลัดมาทางซอยสุขุมวิท 46 หรือถ้าเราเดินเลียบถนนใหญ่ผ่านหน้า Summer Hill มาตามปกติ ก็จะมีระยะอยู่ที่ประมาณ 400 m. เท่านั้นเอง ถือเป็นระยะที่เดินได้สบายๆเลยครับ

โดยความดีงามของสถานีนี้คือ จะมีร้านค้าร้านอาหารให้เราได้แวะก่อนกลับบ้านในตอนเย็นเยอะแยะเลยครับ และในซอยสุขุมวิท 46 นี้ก็ยังเป็นที่ตั้งของ Naiipa Art Complex ซึ่งคนที่ชอบธรรมชาติคงจะถูกใจไม่น้อย หรือถ้าใครไม่อยากเดินให้เมื่อยก็สามารถใช้บริการวินมอไซค์ได้เช่นกัน มีอยู่ทั้งที่ใต้ BTS และปากซอยข้างๆโครงการเลยครับ

ส่วนคนที่ใช้รถยนต์เป็นหลัก สิ่งที่ต้องรู้เป็นอย่างแรกคือ ซอยย่อยต่างๆของสุขุมวิทฝั่งคู่นี้ จะมีทั้งแบบ One Way และ Two Way ครับ สมมุติว่าเราขับรถเข้าไปในเมือง แล้วขากลับถ้าไม่อยากเสียเวลารถติดบนถนนสุขุมวิทนานๆ เราสามารถเลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 36 หรือ 40 เพื่อลัดมาถนนพระราม 4 แล้วตรงดิ่งกลับบ้านได้เลย หรือถ้าจะขับรถไปซื้อของที่ Tops ตรง Summer Hill เพราะต้องขนของเยอะจริงๆ ก็สามารถขับเลยไปหน่อย เพื่อใช้ซอยสุขุมวิท 44/1 เพื่อวน loop กลับมาได้ง่ายมากๆครับ

อีกเรื่องที่สำคัญคือจุดกลับรถต่างๆ คือจริงๆแล้วด้านหน้าโครงการจะมีจุดกลับรถอยู่จุดหนึ่งที่ห่างเพียง 50 m. ถือว่าเป็นระยะที่กระชั้นชิดมากครับ คือเลี้ยวแล้วต้องตบไฟเข้าซ้ายทันที อาจเป็นอันตรายได้นะ ซึ่งเราอาจเลยมาใช้จุดกลับรถที่ 3 ที่อยู่ถัดมาอีก 400 m. ก็ได้ครับ เพื่อความปลอดภัย

ส่วนทางด่วนที่ใกล้ที่สุดจะมี 2 จุดครับ จุดแรกคือทางด่วนฉลองรัช ที่อยู่ห่างออกไป 1.7 km. โดยแยกพระโขนงเป็นแยกที่เลี้ยวได้ทั้งซ้ายและขวา พอเลี้ยวซ้ายมาก็สามารถเลี้ยวขึ้นทางด่วนได้เลย

ส่วนอีกจุดหนึ่งเราจะต้องกลับรถตรงก่อนถึงแยกพระโขนง เพื่อมาเลี้ยวซ้ายที่แยกกล้วยน้ำไทเข้าสู่ทางด่วนเฉลิมมหานครในระยะ 2.3 km. ถือเป็นทำเลที่ใกล้ทางด่วนมากๆเลยครับ

เส้นทางการเดินทาง

สำหรับการเดินทางในวันนี้ผมจะพาทุกคนมาด้วยรถไฟฟ้านะ เพื่อให้ได้เห็นบรรยากาศของทำเลนี้ไปด้วยในตัว โดยเราจะใช้เส้นทางลัดผ่านซอยสุขุมวิท 46 มาตามเส้นทางเรื่อยๆ ระยะเดินแค่ 350 m. เท่านั้น จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยครับ

เริ่มต้นที่ BTS พระโขนง ให้ใช้ทางออกที่ 4 ครับ

โดยทางออกที่ 4 ด้านขวามือนี้จะมีบันไดให้เดินลงได้ทั้ง 2 ฝั่งเลย

ซึ่งถ้าเราลงทางฝั่งซ้ายก็จะลงไปที่ด้านหน้า Summer Hill โดยตรงเลยครับ โดยที่นี่หลักๆคือจะมี Tops, Starbucks และ Fitness ที่เปิด 24 ชม.

ส่วนตอนกลางคืนจะยิ่งคึกคักครับ เพราะนอกจากจะมีร้านแบบ Street food มาเปิดกันเยอะแล้ว ก็ยังมีลานเบียร์ด้วยนะครับ

หรือถ้าเราลงบันไดมาทางขวามือ แล้วเดินย้อนกลับมาด้านข้างสถานี ก็จะมีทั้งร้านกาแฟ และร้านอาหารญี่ปุ่นให้เลือกทานกันเยอะเลย

ซึ่งจากตรงจุดนี้เองถ้าเราต้องการจะไปยังโครงการโดยตรง ก็ให้เราเลือกลงบันไดมาฝั่งขวาครับ เพื่อเดินมายังซอยสุขุมวิท 46 แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยไปได้เลย (ถ้าใครไม่อยากเดินก็สามารถใช้บริการวินมอไซค์ตรงปากซอยได้นะครับ 10 บาทเท่านั้น)

บรรยากาศภายในซอยจะเป็นถนนขนาด 2 เลนที่รถวิ่งสวนกันได้ และไม่มีทางเท้าจริงๆจังๆนะครับ จึงต้องเดินระวังๆกันหน่อย ซึ่ง 2 ข้างทางจะเป็นชุมชนพักอาศัย และพอเดินมาถึงกลางๆซอย ก็จะเจอกับ Naiipa Art Complex ครับ

โดย Naiipa Art Complex ภายในจะมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย และฟิตเนส ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ความร่มรื่นและความเขียวขจีของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่หลายๆคนมักจะชอบมานั่งทานกาแฟและถ่ายรูปเล่นกันครับ

ส่วนบรรยากาศเดินตอนกลางคืนก็จะเป็นประมาณนี้นะ เดินได้ไม่เปลี่ยว มีคนอื่นๆเดินเหมือนกันเยอะ

และพอเราเดินต่อมาจนสุดซอยก็จะออกมายังถนนพระราม 4 ก็ให้เราเลี้ยวขวามาได้เลย

ระหว่างทางริมถนนพระราม 4 จะเป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งด้านล่างจะไม่ได้คึกคักเท่าไหร่ครับ โดยถ้าเป็นร้านอาหารผมจะเจอร้านข้าวแกงอยู่ร้านนึงตามภาพบนเลย นอกนั้นก็จะเงียบๆ ขายเฟอร์นิเจอร์บ้าง วัสดุก่อสร้างบ้าง เป็นอู่บ้าง โดยถ้าเราเดินมาจนถึง Cockpit ก็แปลว่าเราใกล้ถึงโครงการแล้วนั่นเอง (อยู่ถัดไปเลยครับ)

มาถึงแล้วครับ Sales Gallery ของโครงการ จะตั้งอยู่ติดริมถนนพระราม 4 แบบนี้เลย ซึ่งถ้าใครที่ขับรถมา เค้าก็จะมีที่จอดรถให้อยู่ใต้อาคารเลยครับ

ส่วนภายใน Sales Gallery ก็มีบรรยากาศที่สูงโปร่งทีเดียว ซ้ายมือมีที่นั่งให้เลือกหลายจุดเลยครับ รวมถึงจะมีเคาน์เตอร์พนักงานที่คอยให้ข้อมูลโครงการ และมีบันไดเดินขึ้นไปดูห้องตัวอย่างที่อยู่ด้านบนได้ ส่วนด้านขวาจะมีโมเดลตั้งอยู่ครับ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

โดยรอบโครงการส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่พักอาศัยแนวราบ สูงไม่เกิน 8 ชั้น และก็มีที่ว่าง กับอาคารสูงของเพื่อนบ้านอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระยะประชิดมากนัก สามารถสรุปได้ดังนี้

ทิศเหนือ : ด้านหลังโครงการจะติดกับคอนโดสูง 7 ชั้น และมองเห็นโครงการ RHYTHM Sukhumvit 44/1 ที่เป็นคอนโดสูง 34 ชั้นอยู่เยื้องๆกัน (ห่างออกไปประมาณ 500 m.)

ทิศใต้ : เป็นด้านหน้าโครงการ อยู่ติดกับถนนพระราม 4 ฝั่งตรงข้ามเป็นชุมชนแนวราบ

ทิศตะวันออก : ติดกับศูนย์บริการรถยนต์ Cockpit และชุมชนแนวราบ มองออกไปทางฝั่งถนนสุขุมวิท เห็นรถไฟฟ้า Summer Hill และพื้นที่สีเขียวของ Naiipa Art Complex ด้วยครับ

ทิศตะวันตก : อยู่ติดกับซอยพิชัยสวัสดิ์ ที่เชื่อมต่อกับซอยสุขุมวิท 44/1 ได้ ฝั่งตรงข้ามมีที่ว่างขนาดใหญ่ และถัดไปจะเป็นโครงการเพื่อนบ้าน The Tree สุขุมวิท – พระราม 4 สูง 29 ชั้น ที่จะเกิดในอนาคต (อยู่ห่างออกไปประมาณ  200 m.)

และนอกจากนี้ที่ชั้นสูงๆของโครงการ ยังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้อีกด้วยนะ

เรามาเดินดูทำเลรอบๆโครงการกันครับ ด้านขวาของที่ดินคือทางที่จะมุ่งหน้าไปถนนสุขุมวิท และที่ข้างๆจะอยู่ติดกับศูนย์ Cockpit

ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็นทางที่มุ่งหน้าไปแยกกล้วยน้ำไท – พระราม 4 ครับ

ซึ่งถนนตรงหัวมุมจะเป็นจุดกลับรถด้วยครับ โดยทางเข้าโครงการจริงๆ จะอยู่ค่อนไปทางด้านขวาของหน้ากว้างที่ดิน จึงทำให้มีระยะอยู่ประมาณ 50 m. แต่ก็ถือว่ากระชั้นอยู่พอสมควร เว้นแต่ถ้ารถโล่งๆ จะกลับรถตรงนี้ก็ได้ครับสะดวกดี ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นปั๊ม ปตท. ซึ่งด้านในก็มีร้านกาแฟ Amazon และเซเว่นอยู่ด้วย

ด้านซ้ายของที่ดินโครงการคือซอยพิชัยสวัสดิ์ ซึ่งหน้าปากซอยก็มีวินมอไซค์ไว้คอยบริการด้วยนะ สามารถนั่งไปรถไฟฟ้าง่ายๆแค่เพียง 10 บาท

ส่วนขอบเขตที่ดินของโครงการจริงๆ จะกินพื้นที่ไปจนติดกับคอนโด 7 ชั้นด้านหลังเลยครับ ส่วนซอยนี้ก็ไม่ใช่ซอยตันนะ สามารถไปเชื่อมต่อซอยสุขุมวิท 44/1 เพื่อไปออกถนนสุขุมวิทได้ครับ

แล้วถ้าเราเดินเลยจากปากซอยมาอีกหน่อย ก็จะเจอกับป้ายรถเมล์ตั้งอยู่ด้วย

และแม้ว่าทางฝั่งซ้ายของโครงการจะยังไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่ถ้าเราเดินมาจนถึงซอยโรงบาล 2 ที่ด้านในเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จะมีพวกโรงอาหารราคาไม่แพง ร้านกาแฟ และร้านสะดวกซื้ออยู่พอสมควรเลยครับ ห่างจากโครงการเพียง 350 m. เท่านั้น

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • Naiipa Art Complex ~ 260 m. (ระยะเดิน)
  • BTS พระโขนง ~ 350 m. (ระยะเดิน)
  • รพ.กล้วยน้ำไท ~ 350 m. (ระยะเดิน)
  • Summer Hills / Summer hub ~ 400 m.
  • W District ~ 450 m.
  • Gateway เอกมัย ~ 1.2 km.
  • Major สุขุมวิท ~ 1.6 km.
  • มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ~ 1.6 km.
  • Big C อ่อนนุช ~ 1.7 km.
  • รพ.สุขุมวิท ~ 1.8 km.
  • Park Lane ~ 1.8 km.
  • Big C เอกมัย ~ 2.2 km.
  • สวนเพลิน มาร์เก็ต ~ 2.6 km.
  • Emporium & EmQuartier ~ 3.4 km.
  • Terminal 21 ~ 5.7 km.
  • สวนลุมพินี ~ 6.5 km.

รายละเอียดโครงการ

โครงการ Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 เป็นคอนโด High Rise สูง 33 ชั้น ที่มีจำนวนยูนิต 642 ยูนิต ภายนอกใช้โทนสีเทาเข้มสไตล์ Modern ตามแบบฉบับของอนันดา และออกแบบด้วยแนวความคิด SPACE FOR ALL AGE โดยจะมี Wellness Facilities อยู่ภายในอาคาร อีกทั้งยังมีความร่มรื่นของสวนและต้นไม้ต่างๆ ที่รวมแล้วให้พื้นที่สีเขียวมากถึง 2,500 ตารางเมตรเลยทีเดียวครับ ส่วนโพเดี้ยมด้านล่างจะเป็นฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เป็นชั้นจอดรถ กับชั้น Main Facilities ในขณะที่ชั้นพักอาศัยด้านบนจะเป็นรูปทรงตัว L เพื่อไม่ให้บังวิวกันเอง และยังมี Sky Lounge กับ Roof top ด้านบนให้ขึ้นไปใช้งานชมวิวได้อีกด้วยนะ

เรามาดู Master Plan ของโครงการกันครับ ซึ่งถึงแม้จะมีที่ดินติดถนนซอยข้างๆด้วย แต่โครงการก็จะมีทางเข้า-ออกด้านหน้าที่ถนนพระราม 4 แค่ด้านเดียวเท่านั้น เพื่อง่ายต่อการดูแลรักษาความปลอดภัย โดยบริเวณหน้าสุดจะเป็นพื้นที่ร้านค้า 3 ร้าน ที่ถือครองกรรมสิทธิ์โดยบริษัทอนันดา และยังเปิดให้คนภายนอกสามารถเข้ามาใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งจะมีที่จอดรถของ Visitor แยกเอาไว้ต่างหากด้านหน้า และคนภายนอกจะไม่สามารถผ่านไม้กั้นกระดก หรือเดินผ่านประตูที่ต้องใช้ Key Card Access เข้าไปด้านในได้ครับ ลูกบ้านจึงค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวในระดับหนึ่ง

และนอกจากทางเข้ารถยนต์แล้ว ก็ยังมีทางคนเดินแยกออกมาต่างหากเพื่อความปลอดภัยด้วยนะครับ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือ ลักษณะช่องทางเดินเข้าอาคารข้างๆร้านค้า ที่ต้องการออกแบบให้เกิดช่องลมของอากาศ พัดพาความเย็นเข้าไปสู่ด้านในอาคาร ผ่านสวนชั้น 1 บริเวณตรงกลาง ซึ่งจะมีช่องว่างที่ทะลุไปด้านบนได้ ทำให้ลมเย็นพัดผ่านช่องเหล่านี้ขึ้นมาด้านบนได้นั่นเองครับ

ส่วนใครที่ขับรถมา เมื่อรับ-ส่งคนตรงจุด Drop-Off ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องขับผ่านไม้กั้นกระดกด้านขวา เพื่อมาขึ้นชั้นจอดรถซึ่งอยู่ด้านข้างอาคารครับ ส่วนขาออกก็ใช้เส้นทางเดิม แต่ขับอ้อมอาคารมาออกทางฝั่งซ้าย ซึ่งจะเจอกับไม้กั้นกระดกสำหรับขาออก ช่วยคัดกรองไม่ให้คนภายนอกเข้ามาปะปนในโครงการได้ดีทีเดียว

ชั้น 6 จะเป็น Main Facilities หลักของโครงการแบบเต็ม Floor เลยครับ ซึ่งทั้งหมดจะโอบล้อมสวน Urban Courtyard ที่อยู่ชั้น 1 เอาไว้ สิ่งที่แปลกอันดับแรกคือ Lobby ของโครงการนี้จะไม่มีที่ชั้น 1 แต่จะอยู่ที่ชั้น 6 เลยครับ จึงเป็น Private Lobby ที่ไม่ได้ให้แขกภายนอกมานั่งรอ เว้นแต่ว่าลูกบ้านจะพาขึ้นมารับรองบนนี้เองครับ อีกทั้งพื้นที่สีเทาๆที่ทุกคนเห็นก็คือ พื้นที่ Semi-Outdoor ที่สามารถเดินอยู่ใต้อาคาร เชื่อมต่อทุกฟังก์ชันถึงกันได้หมด

โดยจะแบ่งโซนออกเป็น 2 ฝั่งคือ Private Zone ประกอบด้วย Co-Creative Space และ Meeting Room กับ Active Zone อย่าง Fitness กับ Swimming Pool ซึ่งจะมี Aqua Exercise Equipment ประกอบด้วย เครื่องปั่นจักรยาน และลู่วิ่งในน้ำพร้อมราวจับ เหมาะสำหรับการบริหารร่างกายของผู้สูงอายุ และยังมีบ่อ Jacuzzi ให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย ส่วนพื้นที่ตรงกลางทั้ง 2 โซน จะถูกคั่นด้วยสวน และมีศาลานั่งเล่นที่ยื่นออกไปตรงกลางด้วยครับ

จากภาพโมเดลจะทำให้เห็นว่า พื้นที่ชั้นบนนี้จะมีการปลูกต้นไม้ดูค่อนข้างร่มรื่นมากๆ สร้างลูกเล่นด้วยการออกแบบฟังก์ชันห้องต่างๆ ให้เป็นส่วนกระจกยื่นออกมานอกอาคาร เพื่อให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากที่สุด อีกทั้งห้องพักที่หันหน้ามาทางด้านนี้ก็จะได้รับวิวสวน และสระว่ายน้ำเหล่านี้ได้อีกด้วยครับ ซึ่งข้อดีอีกอย่างของโพเดี้ยมกว้างกว่าชั้นพักอาศัยแบบนี้ก็คือ สวนชั้น 6 จะมีขนาดใหญ่ และไม่อยู่ในระยะประชิดกับอาคารมากเกินไป จนชั้นพักอาศัยสูงๆจะต้องก้มเยอะๆถึงจะมองเห็น (ปกติอาจสูงไม่เกิน 4 – 5 ชั้นถึงจะมองเห็น แต่โครงการนี้อาจ 8 – 10 ชั้นก็ยังพอมองเห็นได้ครับ)

ภาพจำลองบรรยากาศเมื่อก้มลงไปมอง Urban Courtyard ที่อยู่ชั้น 1 จะเห็นความร่มรื่นของต้นไม้ เหมือนเป็น Oasis ที่ซ่อนอยู่ภายใน พร้อมกับมีน้ำตกที่ไหลลงจากใต้ Floating Pavilion อีกด้วย แต่จะไม่ได้เป็นน้ำตกไหลแรงๆนะครับ เค้าจะทำเป็นฉากกระจกให้น้ำค่อยๆไหลลง (เหมือนที่เห็นตามห้างทั่วไป) แต่ที่ผมสนใจคือ เมื่อเราอยู่ที่ชั้น 1 แล้วมองขึ้นมาด้านบน คงจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำหรือหุบเขา และคงดูสวยงามไม่น้อยเลยทีเดียวนะ

ส่วนภาพนี้เป็นด้านหลังของอาคาร จะเห็นพื้นที่ Semi-Outdoor ที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้สบายๆ รวมถึงยังทำหน้าที่เป็นช่องลมให้พัดผ่านได้ คงจะเย็นสบายน่าดูเลยครับ

ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณ Private Lobby ซึ่งออกแบบเป็นฝ้าเพดานสูงโปร่ง ตกแต่งสไตล์เรียบหรูครับ

ส่วนภาพนี้เป็นบรรยากาศจำลองภายใน Fitness Center ที่โดยรอบเป็นกระจกสามารถชมวิวได้รอบทิศทาง 360 องศาแล้ว ก็ยังตกแต่งฝ้าเพดานด้านบนด้วยต้นไม้ ให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติที่เชื่อมต่อกับภายนอก และจุดเด่นอีกอย่างที่สำคัญคือ เป็น Fitness ที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมงอีกด้วยครับ เหมาะกับคนที่ทำงานกลับบ้านมาดึกมากๆ

ชั้น 8 – 30 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยครับ ซึ่งรูปทรงของอาคารก็จะเปลี่ยนเป็นรูปตัว L ทำให้แต่ละด้านของอาคารไม่บังวิวกันเลย โดยจะวางโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ทำให้ใช้งานได้สะดวกทั้ง 2 ด้าน แต่พิเศษหน่อยสำหรับห้องที่อยู่ทางปีกขวาครับ เพราะประตูจะไม่ตรงกับห้องฝั่งตรงข้ามเลย มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า (สังเกตฝั่งปีกซ้ายประตูจะตรงกัน) และนอกจากนี้ห้องที่หันมาทางทิศใต้กับทิศตะวันตก ก็จะสามารถมองเห็นวิวสวนและสระว่ายน้ำชั้น 6 ได้อีกด้วยครับ ส่วนตำแหน่งห้องต่างๆที่ผมทำกรอบเอาไว้ว่าน่าสนใจมีดังนี้

  • กรอบสีส้ม : เป็นห้อง 2 Bedroom ขนาดมาตรฐาน 65.5 ตร.ม. และยังเป็นห้องมุมอีกด้วยครับ (แต่ก็เป็นห้องที่ไม่ได้มีช่องเปิดหน้าต่างรับวิวด้านข้างนะ) และถ้าเป็นห้องทางขวาสุดก็จะได้ความเป็นส่วนตัว จาก Single Corridor ด้านหน้าห้องด้วยครับ
  • กรอบสีแดง : เป็นห้อง 2 Bedroom ขนาดใหญ่ที่สุดในชั้นนี้ 75 ตร.ม. ซึ่งมีเพียงชั้นละ 1 ยูนิตเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นห้องหน้ากว้างมากที่สุด และเป็นห้องมุมที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุดอีกด้วยครับ
  • กรอบสีน้ำเงิน : เป็นห้องขนาดเล็กที่สุดที่อยู่ทางทิศตะวันออก มองออกไปทางฝั่งถนนสุขุมวิท และพื้นที่สีเขียวของ Naiipa Art Complex ได้ครับ

แปลนชั้น 31 จะเป็นชั้นที่ห้อง 1 Bedrooom หลายๆห้องก่อนหน้านี้จะรวมกันเป็นห้อง 2 Bedroom ขนาดใหญ่ และยังทำให้มีเพื่อนร่วมชั้นเพียงแค่ 10 ยูนิต จากเดิมที่เป็น 26 ยูนิต ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ

ชั้น 32 เป็นชั้นที่มี Facilities อย่าง Sky Lounge ที่เป็นพื้นที่แบบ Indoor กับ Sky Deck ที่เป็นพื้นที่ Semi-Outdooor ให้เลือกใช้งาน ออกไปนั่งรับลมได้ในวันที่อากาศดีๆ ส่วนพื้นที่โซนพักอาศัยจะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความเป็นส่วนตัวครับ แต่คราวนี้ห้องที่อยู่ทางปีกซ้าย 2 ห้อง จะค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวจาก Single Corridor ด้านหน้ามากครับ ในขณะที่ห้องตำแหน่ง 05 ประตูจะอยู่ตรงกับโถงลิฟต์พอดี อาจมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นห้องอื่นเล็กน้อย แต่ก็มีจำนวนเพียง 8 ยูนิตเท่านั้นครับ

ซึ่งจากโมเดลเราก็จะมองเห็น Sky Lounge ที่อยู่ด้านบนได้ เป็นกรอบสีส้มเด่นเลยครับ และนอกจากนี้ก็ยังมี Garden บนชั้นดาดฟ้าให้ขึ้นไปใช้งานและชมวิวได้อีกด้วยนะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้น G

  • Urban Courtyard
  • Juristic
  • Shop 3 ยูนิต

  • ชั้น 6
    • Private Lobby
    • Digital Mailbox Room
    • Co-Creative Space
    • Meeting Room
    • 24-HR Fitness Center
    • Semi-Outdoor Playtivity
    • Swimming Pool ยาว 25 m.
    • Aqua Exercise Equipment
    • Garden & Floating Pavilion

  • ชั้น 32
    • Sky Lounge
    • Semi-Outdoor Sky Deck

  • ชั้น 33 (ดาดฟ้า)
    • Garden

  • ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 160.5 :  1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 340 คัน คิดเป็น 53% (โดยประมาณ)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card Access
  • แบบห้อง

    โครงการนี้มีห้องอยู่ทั้งหมด 4 แบบครับ ขายแบบ Fully Fitted คือให้พวกชุดครัว ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ประกอบด้วย

    • Studio ขนาด 29.5 ตร.ม.
    • 1 Bedroom ขนาด 34.5 ตร.ม.
    • 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตร.ม.
    • 2 Bedroom ขนาด 65 – 75 ตร.ม.

    โดยห้องตัวอย่างที่ Sales Gallery จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แบบครับ (ขาดแต่ห้อง 1 Bedroom เท่านั้น) ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปชมกันเลยครับ

    ห้อง Studio ขนาด 29.5 ตร.ม. เป็นห้องเริ่มต้นของโครงการที่ได้เพิ่มขนาดพื้นที่ห้องให้ใหญ่และอยู่สบายมากขึ้น และมีการปรับฟังก์ชันใหม่ โดยการนำที่วางเครื่องซักผ้ามาไว้ในห้องน้ำ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความชื้นอีกต่อไป หรือถ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำเสร็จเราก็สามารถยัดผ้าใส่เครื่องได้ทันทีครับ ส่วนห้องครัวหน้าห้องก็จะได้เป็นครัวปิด มีประตูกั้นเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ด้านในของห้องจะเชื่อมต่อกันหมด ทั้งโซฟานั่งเล่นและเตียงนอน รวมถึงมีมุมอเนกประสงค์ริมหน้าต่าง และระเบียงให้เปิดออกไปสูดอากาศได้ครับ แต่ฟังก์ชันที่ขาดไปสำหรับห้องนี้คือโต๊ะทานอาหาร ซึ่งเราก็คงต้องมานั่งทานที่โต๊ะหน้าทีวีแทนนั่นเอง และของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราไปชมกันเลยครับ

    เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องเราจะเจอกับส่วนครัวก่อนนะ ความสูงจากพื้นถึงฝ้าในส่วนนี้คือ 2.7 m. โดยจะมีการดรอปฝ้าลงมาเล็กน้อยเพราะเรื่องของงานระบบครับ

    พื้นที่ครัวจะกว้าง 1.2 m. และปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ จึงไม่กลัวเลอะ เวลาใส่รองเท้าเข้ามาในห้อง หรือทำครัวเสร็จ ก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายครับ

    ซ้ายมือสุดจะเป็นตู้รองเท้าที่สามารถเลื่อนออกมาได้แบบนี้ครับ ซึ่งฟังก์ชันนี้นอกจากจะประหยัดพื้นที่ในการเปิด เพราะไม่มีระยะบานสวิงค์แล้ว ก็ยังทำให้เก็บรองเท้าได้มากขึ้นอีกด้วย และฟังก์ชันนี้จะมีแต่ในเฉพาะห้อง type นี้เท่านั้นนะครับ

    ติดกันจะเป็นชุดครัวที่จะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ มีเตาไมโครเวด้านล่าง รวมถึงชั้นวางของด้านบนที่สามารถดึงลงมาได้อีกด้วย ถือเป็นโครงการแรกของอนันดาที่ใช้ฟังก์ชันแบบนี้ครับ เหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆที่หยิบของสูงๆไม่ถึง ส่วนภายในตู้ก็สามารถเก็บของได้พอสมควร เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนครับ

    หน้าบานของชุดครัวห้องนี้จะเป็นลามิเนตสีเทา ที่มีลวดลายแบบนี้เลยครับ

    ส่วน Top เคาน์เตอร์ครัว จะเป็นหิน Quartz ที่ไม่กลัวน้ำ และกันรอยได้ดี ทำความสะอาดก็ง่าย ได้ Hob&Hood แบบดูดหมุนเวียนภายในของ Teka กับอ่างล้างจานขนาด 39 x 39 cm. ลึก 20 cm. รวมถึงติด Backsplash กระจกเงา ไฟส่องสว่าง และราวแขวนของที่ผนังด้านหลังมาให้แบบในห้องตัวอย่างเลยครับ

    ข้างๆกันเป็นพื้นที่วางตู้เย็นนะ ขนาดประมาณ 70 x 60 cm. และถูกจำกัดความสูงของตู้ด้านบนด้วย ฉะนั้นตอนซื้อก็อย่าลืมวัดกันดีๆด้วยนะครับ

    ฝั่งตรงข้ามกับครัวจะเป็นห้องน้ำ ภายในมีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันชัดเจน รวมถึงทางด้านซ้ายจะเห็นว่ามีเครื่องซักผ้าอยู่ในนี้ด้วยครับ

    เริ่มจากพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาดประมาณ 1.5 x 1.9 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ ด้านหน้าห้องน้ำจะมีธรณียกสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนออกไปด้านนอกครับ ภายในเป็นสุขภัณฑ์ของ American Standard ประกอบด้วย อ่างล้างหน้าขนาด 65 x 45 cm. ลึก 13 cm. พร้อม Built ตู้แบบมีหน้าบานไว้เก็บของด้านล่าง และติดกันเป็นโถสุขภัณฑ์ พร้อมอุปกรณ์ต่างๆครบ

    ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่วางเครื่องซักผ้าขนาด 88 x 83 cm. สูง 96 cm. โดยที่ชั้นบนจะ Built ชั้นวางของมาให้แบบนี้เลยครับ ข้อดีคือเวลามีปัญหาน้ำรั่วซึม หรือน้ำหยดลงพื้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าพื้นจะเสียหาย

    รวมถึงเราสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วยัดผ้าลงเครื่องได้ทันที และที่ผมชอบอีกอย่างคือประตูกระจกนิรภัย Tempered Glass ของ Shower box เวลาเปิดออกแล้วก็จะเลื่อนมาปิดส่วนของเครื่องซักผ้าได้พอดี ทำให้เวลาเราจะล้างห้องน้ำ น้ำจะได้ไม่กระเด็นโดนเครื่องใช้ไฟฟ้าครับ

    ส่วนภายใน Shower box จะมีพื้นที่อาบน้ำขนาด 1 x 0.85 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีตัว รวมถึงยังติดตั้ง Hand Shower และ Rain Shower มาให้แล้วอีกด้วย แต่อาจต้องเพิ่มชั้นวางสบู่อีกสักหน่อยนะครับ เพราะวางแค่นี้ไม่น่าจะพอแน่ๆเลย

    ก่อนจะเข้าไปด้านในของห้องจะมีประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ที่เปิดออกได้กว้าง 85 cm. ทำให้กลายเป็นพื้นที่ครัวปิด ที่สามารถกันกลิ่นอาหาร ความชื้นจากห้องน้ำ หรือเสียงที่เล็ดลอดผ่านประตูหน้าห้องเข้ามา แต่ยังได้แสงธรรมชาติส่องมาถึงหน้าห้องได้อยู่ครับ บานกรอบเป็นอลูมิเนียมสีดำ กระจกใสธรรมดา และเดินรางที่พื้น ซึ่งตัวรางจะฝังลงไปในพื้นอีกที ทำให้เวลาเหยียบแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บครับ

    เข้ามาในห้องจะค่อนข้างโปร่งโล่ง เพราะทุกฟังก์ชันจะเชื่อมต่อถึงกัน และความสูงฝ้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 m. อีกด้วยครับ (แต่ทางซ้ายมือยังมีการดรอปงานระบบไว้แบบในห้องตัวอย่างนี้เลยครับ แต่ไม่ได้ซ่อนไฟไว้นะ) และพื้นก็จะเปลี่ยนเป็นไม้ลามิเนต ให้รู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ

    ฟังก์ชันส่วนแรกจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น โดยระยะ TV จะอยู่ที่ 3.2 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้ครับ และชั้นวางของในผนังตรงกลางรูปภาพเราก็จะได้แบบนี้เลยนะ

    ทั้งนี้ เฟอร์นิเจอร์ที่เราเห็นในห้องนี้เราจะไม่ได้นะครับ แต่เราสามารถดูเป็นไอเดียได้คือ โซฟาสามารถวางได้แบบ 2 ที่นั่งแบบนี้ ส่วนโต๊ะกลางก็สามารถเลือกใช้เป็นโต๊ะสูงขนาดพอดีๆกับการนั่งโซฟาไปด้วย แล้วใช้เป็นโต๊ะทานอาหาร/นั่งทำงานไปด้วยแบบนี้ก็ได้ครับ หรือจะใช้เป็นโต๊ะที่ปรับความสูงได้ก็มีขายตามร้านทั่วไปเยอะแยะเลย

    ถัดมาจะเป็นส่วนของเตียงนอนซึ่งอยู่ใกล้กับช่องแสง เวลานอนก็จะได้ชมวิวได้ด้วย แลกกับโซฟานั่งเล่นจะไม่ได้ชมวิวครับ สามารถใช้เตียงขนาด 5 ฟุตได้ และมีพื้นที่เหลือรอบเตียงให้เดินได้สบายๆเลย

    ที่อยากให้สังเกตก็คือ ปลั๊กไฟข้างหัวเตียง จะมีช่อง USB ให้เสียบชาร์จแบตได้ด้วยครับ ซึ่งปกติแล้วจะไม่ค่อยมีให้เห็นกันบ่อยนัก และโครงการนี้ก็เป็นคอนโดแห่งแรกที่อนันดาเลือกมาใช้อีกด้วยครับ

    ปลายเตียงนอกจากจะมีตู้เสื้อผ้าแล้ว ก็ยังมีโต๊ะเครื่องแป้ง Built in มาให้แบบนี้เลยด้วยครับ สามารถเก็บของได้ค่อนข้างเยอะเลย สูงตั้งแต่พื้นจนถึงฝ้าเพดาน เพียงแต่หน้าบานตู้เสื้อผ้าของจริงจะเป็นบานทึบ ส่วนพื้นที่ยืนแต่งตัวปลายเตียงก็จะกว้าง 90 cm. นะ

    ข้างๆกันจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างครับ ที่อยากให้สังเกตอย่างแรกคือ ช่องหน้าต่างที่ได้จะมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าโครงการเก่าๆของอนันดา ทำให้ห้องดูกว้างมากขึ้น และยังเปิดระบายอากาศได้อีกด้วยครับ

    โดยพื้นที่ส่วนนี้มีขนาด 2.1 x 1.2 m. เหมาะที่จะหาโต๊ะหรือโซฟามานั่งทำงานอ่านหนังสือมากๆเลยครับ

    ส่วนทางซ้ายของเตียงจะเป็นประตูระเบียงกระจกบานเลื่อนนะ เพียงแต่ว่าห้องตัวอย่างจะเลื่อนเตียงให้มาอยู่เกือบชิดกับประตู เหลือระยะเพียง 30 cm. เท่านั้น คือถ้าใครที่ไม่ได้ออกไปใช้งานระเบียงบ่อยๆอยู่แล้ว จะทำแบบนี้ก็ได้ครับ ด้านในห้องจะได้มีพื้นที่เหลือกว้างมากขึ้น

    ระเบียงภายนอกมีขนาดประมาณ 1.55 x 1.6 m. สามารถตากผ้าหรือทำสวนเล็กๆได้นะ มีราวกันตกเหล็กสีดำสูง 1.1 m. และระแนงสูงด้านข้างเพื่อบังสายตา Condensing Unit ที่ติดอยู่ด้านบนให้ดูเรียบร้อยครับ

    ห้อง 2 Bedroom ขนาด 65 ตร.ม. เป็นห้องที่ฟังก์ชันลงตัวดีทีเดียวครับ เข้ามาด้านในเราจะเจอกับ Common area ที่มีพื้นที่ครัวทางด้านหน้าขนาดใหญ่มาก ตรงกลางเป็นโต๊ะทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ระหว่างห้องนอนทั้ง 2 โดยที่ห้องนอนเล็กจะใช้งานทั้งส่วนพื้นที่ห้องน้ำและพื้นที่ระเบียง ร่วมกับส่วนกลางด้านนอกครับ จึงทำให้ได้ระเบียงที่ยาวมาก และยังสะดวกในการใช้ห้องน้ำอีกด้วย ส่วนห้อง Master Bedroom จะมีเป็นห้องตัวเองแยกออกเป็นส่วนตัวเลยครับ และมีอ่างอาบน้ำเพิ่มมาอีกด้วย รวมถึงมีพื้นที่อเนกประสงค์ข้างเตียงที่เพิ่มขึ้น เพราะว่าไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับระเบียงนั่นเองครับ แต่น่าเสียดายที่ห้องนี้เป็นห้องมุมที่ได้หน้าต่างด้านข้างเฉพาะในห้องน้ำเท่านั้น ซึ่งถ้ามีในห้องนอนด้วยผมว่าน่าจะทำให้ห้องดูสว่างและกว้างมากกว่านี้อีกครับ ของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยดีกว่า

    เข้ามาด้านในด้วยความที่ห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้าง บวกกับการเน้นพื้นที่ส่วนแรกอย่างครัว ให้มีความกว้างมากกว่าห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านใน จึงทำให้เวลาเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วจะรู้สึกโปร่งโล่งเป็นพิเศษนั่นเองครับ

    สำหรับพื้นที่ครัวของห้องนี้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ แต่พื้นจะเป็นไม้ลามิเนตเหมือนกันทั้งห้อง ไม่ได้แยกเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้แบบห้องที่แล้วนะครับ ดังนั้นเวลาทำอาหาร น้ำหก หรือใส่รองเท้ามาในห้อง ก็ต้องคอยเช็ดทำความสะอาดกันดีๆหน่อยนะ

    ด้านซ้ายมือทางโครงการจะ Built in ตู้มาให้แบบนี้เลยครับ ทีเด็ดอยู่ที่ชั้นวางรองเท้าด้านล่าง ซึ่งเค้าจะทำกลไกให้สามารถหมุนได้แบบนี้เลย รวมถึงแต่ละชั้นจะวางแบบสับหว่างกัน ทำให้เก็บรองเท้าได้จำนวนมากขึ้น หรือถ้าเป็นรองเท้าสูงๆ ก็สามารถถอดชั้นและติดแบบกำหนดความสูงเองได้อีกด้วยครับ

    ส่วนทางขวามือจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวรูปตัว U ซึ่งมีพื้นที่ประกอบอาหารค่อนข้างเยอะเลยครับ และได้เครื่องครัวของ Teka เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเตาไฟฟ้าที่กลายเป็นแบบ 4 หัวครับ

    ส่วนภายในก็เก็บของได้เยอะมากๆ ที่สำคัญคือ จุดที่วางเครื่องซักผ้าจะย้ายมาอยู่ในครัวแทน มีขนาด 60 x 70 cm. สูง 85 cm. ซึ่งต้องระวังเรื่องน้ำและความชื้นหน่อยนะครับ

    และอีกสิ่งที่ต่างออกไปคือ สีและลวดลายของหน้าบานตู้ต่างๆ สำหรับห้อง 2 Bedroom จะเป็นสีแบบนี้เลยครับ สวยดีเหมือนกันนะ

    ซึ่งเวลาทำอาหารอยู่ในครัวก็จะสามารถมองเห็นคนอื่นๆที่อยู่ในห้องไปด้วยได้ และเมื่อเราเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถยกไปเสิร์ฟที่โต๊ะได้เลยครับ

    ซึ่งขนาดพื้นที่วางโต๊ะอาหารก็ใหญ่พอที่จะวางโต๊ะ 4 ที่นั่งได้เลยครับ แต่จะต้องวางชิดกับเคาน์เตอร์ครัวด้านหนึ่งไป ทำให้ไม่สามารถนั่งที่หัวโต๊ะทั้ง 2 ด้านได้ (เต็มที่ก็คือ 5 คน) หรือจะใช้วิธีเลื่อนโต๊ะออกมาเป็นครั้งคราวก็ได้เหมือนกันครับ

    อีกด้านหนึ่งก็จะ Built เป็นตู้เก็บของ ซึ่งถือว่าเป็นห้องที่มีที่เก็บของเยอะมากครับ รวมถึงเว้นช่องใส่ตู้เย็นขนาดใหญ่ ที่กว้างถึง 1 m. มาให้แบบนี้ด้วย

    และผมยังได้ทดลองเลื่อนเก้าอี้ออกมาดูว่า ถ้ามีคนนั่งทานอาหารอยู่แล้วยังจะสามารถเดินผ่านได้หรือป่าว ซึ่งกะดูคร่าวๆก็จะเหลือพื้นที่ประมาณ 45 cm. พอจะแทรกตัวผ่านได้อยู่ครับ

    ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น และเช่นเคยครับว่าเราจะต้องหาซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเอง โดยคราวนี้จะมีพื้นที่วางโซฟามากขึ้น สามารถใช้ขนาด 3 – 4 ที่นั่ง หรือโซฟารูปตัว L เพื่อนอนดูทีวีได้สบายๆเลยครับ ซึ่งระยะดู TV จะอยู่ที่ประมาณ 2.3 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้ครับ นอกจากนี้เรายังได้ช่องแสง และชมวิวจากประตูระเบียงนี้ได้อีกด้วยนะ

    หันมาทางขวามือจะมีประตูทางเข้าห้องนอนเล็ก ซึ่งกั้นด้วยผนังทึบแยกออกไปเป็นสัดส่วน

    ภายในห้องมีขนาดพื้นที่กำลังดีครับ สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้พอดีเลย ดีหน่อยที่มีประตูระเบียงกระจกที่เป็นช่องแสงขนาดใหญ่ ทำให้ห้องดูไม่อึดอัดมากนัก

    ปลายเตียงเป็นผนังทึบ ถ้าเป็นคนชอบดูทีวีล่ะก็ สามารถติดทีวีแขวนผนังได้นะครับ

    ปลายเตียงเหลือขนาดพื้นที่เพียง 30 cm. เท่านั้น พอที่จะแทรกตัวผ่านมาได้พอดีๆ ส่วนด้านซ้ายของเตียงจะเหลือพื้นที่อีก 90 cm. ให้เดินอ้อมมาเปลี่ยนผ้าปูเตียง หรือออกไประเบียงได้สะดวก

    ระเบียงภายนอกเป็นระเบียงยาว 5.2 x 0.8 m. เชื่อมต่อไปจนถึงห้องนั่งเล่นเมื่อครู่นี้เลยครับ ดังนั้นถ้าอยากให้ห้องนอนนี้ได้ความเป็นส่วนตัว ก็อาจต้องปิดม่านไว้ตลอด หรือถ้าไม่ซีเรียสเรื่องระเบียงยาว ก็หากระถางต้นไม้มาแบ่งกั้นไว้สักหน่อยก็ได้ครับ

    ส่วนอีกด้านของห้องนอนจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำนะ

    ซึ่งทั้งโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าเราจะได้มาแบบนี้เลย แค่เปลี่ยนหน้าบานตู้เป็นบานทึบ และมีพื้นที่แต่งตัวหน้าตู้กว้าง 90 cm. อยู่หน้าห้องน้ำพอดี สามารถใช้งานได้สะดวกมากๆ

    ภายในห้องน้ำมีฟังก์ชันมาตรฐานครบ แยกสัดส่วนชัดเจน และได้สุขภัณฑ์ของ American Standard เช่นเคย

    พื้นที่ส่วนแห้งมีขนาด 1.1 x 1.6 m. สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง คือจากห้องนอนเล็ก และห้องครัวก่อนหน้านี้ครับ

    สิ่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยคือฉากกั้นอาบน้ำ ซึ่งจะได้เป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass เช่นเคย แต่จะมีกรอบอลูมิเนียมสีธรรมชาติเพิ่มเข้ามาครับ ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะกว้าง 1 x 1.2 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ

    ภายในได้ Hand Shower และ Rain Shower เช่นเคย แต่ที่เพิ่มเติมมาคือชั้นวางของด้านซ้าย ทำให้ห้องนี้มีพื้นที่วางสบู่หรือแชมพูเพียงพอครับ

    กลับออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ต่อไปเราจะไปดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันบ้างครับ

    ภายในห้องมีขนาดพื้นที่ด้านข้างที่กว้างกว่าห้องนอนเล็กเยอะมาก แต่จะเป็นห้องหน้าแคบเหมือนกัน ดังนั้นจึงเหมาะที่จะติดทีวีแขวนผนังปลายเตียงแบบนี้เลยครับ และอีกอย่างที่ผมบอกไปในช่วงแปลนแล้วว่า ห้องนี้เป็นห้องมุม ถ้ามีช่องหน้าต่างบนหัวเตียงเพิ่มอีกด้าน ผมว่าน่าจะทำให้ห้องนี้ดูโปร่งโล่ง และระบายอากาศได้ดีมากขึ้นอีกเยอะเลยครับ

    และทางด้านขวาของเตียงเมื่อไม่มีระเบียงแล้ว จึงทำให้ได้พื้นที่ใช้งานในห้องเพิ่มมากขึ้น โดยพื้นที่อเนกประสงค์นี้จะกว้างประมาณ 1.45 x 2 m. เหมาะที่จะทำเป็นมุมพักผ่อนส่วนตัว นั่งเล่น อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรกได้ครับ

    ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำนะ สำหรับตู้เสื้อผ้าทางด้านซ้ายจะได้เป็นบานทึบเหมือนเดิม ส่วนทางขวาของจริงจะเป็นพื้นที่โล่งๆ ซึ่งเราจะ Built เป็นโต๊ะแต่งหน้าแบบนี้ หรือจะเพิ่มตู้เสื้อผ้าอีกฝั่งก็ได้ถ้าเป็นคนมีเสื้อผ้าเยอะ

    สุดท้ายคือห้องน้ำของ Master Bedroom ภายในค่อนข้างใหญ่ครับ และยังมีอ่างอาบน้ำเพิ่มมาอีกด้วย

    ขนาดพื้นที่ส่วนแห้งกว้าง 1.6 x 1.7 m. ได้สุขภัณฑ์ทั้งหมดของ American Standard และอ่างที่เพิ่มมาก็มีขนาด 1.5 x 0.7 m. ลึก 35 cm. สามารถลงไปนั่งแช่น้ำได้ครับ โดยที่ขอบอ่างจะมีที่ให้วางของเล็กน้อยได้ แต่ที่ผมชอบก็คือช่องหน้าต่างด้านบน เพราะสามารถเปิดระบายอากาศหรือความชื้นได้ดีนั่นเองครับ

    ปิดท้ายด้วย Shower box ที่กั้นด้วยฉากกั้นบานใหญ่ 2 ตอน ทำให้ดูเรียบร้อยและสวยงามมากขึ้น ภายในมีพื้นที่ 1.9 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้สะดวกทีเดียว อุปกรณ์ด้านในยังเหมือนเดิม ที่ต้องเพิ่มคือที่วางสบู่นะครับ

    ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 44 ตร.ม. มีฟังก์ชันที่น่าสนใจอยู่ตรงห้องครัวที่เป็นครัวปิดแยกออกไปเป็นสัดส่วน กับห้องน้ำที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทำให้ห้องนอนได้ความสะดวกสบาย และเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย เพียงแต่ห้องนั่งเล่นของห้องนี้จะไม่ได้อยู่ติดกับระเบียงนะครับ จึงเหมาะกับคนที่ไม่ได้เน้นชมวิวมากนัก ส่วนห้องอเนกประสงค์ก็สามารถทำเป็นห้องนอนเพิ่มเติมได้ เผื่อในอนาคตอาจมีแผนที่จะมีลูกก็จะได้อยู่ได้ยาวๆหน่อยนะ แต่ถ้ายังไม่มีก็สามารถปรับเป็นห้องทำงาน ห้องเกมส์ หรือห้องซักรีดก็ได้ครับ ของจริงจะเป็นอย่างไรนั้น ผมมีภาพตัวอย่างคร่าวๆมาฝากกันด้วยนะ

    เข้ามาในห้องก็จะเจอกับ Common area เชื่อมต่อกันระหว่างโต๊ะทานอาหารและห้องนั่งเล่น โดยบริเวณหน้าห้องนี้จะยังได้แสงจากระเบียงของห้องอเนกประสงค์อยู่ครับ (แต่อาจจะน้อยสักนิด เพราะห้องค่อนข้างเป็นตอนลึก และช่องแสงก็ไม่ได้เต็มผนัง)

    หันมาทางขวามือจะเจอกับห้องครัว ที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนแยกออกไปเป็นสัดส่วน สามารถทำอาหารจริงจังได้เลยครับ

    ภายในครัวเราจะได้เป็นเคาน์เตอร์รูปตัว L และมีพื้นที่มากพอที่จะยืนทำอาหาร 1 – 2 คนได้แบบพอดีตัว

    ส่วนห้องน้ำก็ค่อนข้างกว้างอยู่นะ มีทางเข้า 2 ทาง เชื่อมต่อกับห้องนอนได้ด้วย และ Shower box ก็จะเป็นแบบเข้ามุมครับ เวลาเปิดก็ต้องเปิด 2 ฝั่ง

    กลับมาที่ Common area เวลาเรานั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะแบบนี้ ก็ยังสามารถดูทีวีไปด้วยได้ครับ

    ส่วนห้องอเนกประสงค์เค้าก็จัดเป็นห้องนอนเล็กมาให้ดู สามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต ได้แบบพอดีๆ และด้านซ้ายของเตียงก็จะมีตู้เสื้อผ้า Built in มาให้แบบนี้ด้วยนะ ซึ่งถ้าอยากให้ห้องนอนนี้มีความเป็นส่วนตัว ก็สามารถติดผ้าม่านเพิ่มเอาได้ครับ หรือจะทำห้องนี้เป็นห้องทำงานอ่านหนังสือก็ไม่ว่ากัน

    สุดท้ายคือห้องนอนหลัก ภายในมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เพราะมีมุมแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ทีเดียว

    ส่วนห้อง Type อื่นๆที่ไม่ได้มีห้องตัวอย่างจะมีดังนี้ครับ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 34.5 ตร.ม. เป็นห้องที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ Common area และพื้นที่ให้ห้องนอนพอๆกันครับ ด้านหน้าสุดจะเป็นครัวเปิดและโต๊ะทานอาหาร ต่อด้วยพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งจะไม่ได้อยู่ติดกับระเบียง จึงเหมาะกับคนที่ไม่เน้นวิวมากนัก แต่ถ้าสังเกตบริเวณข้างโซฟาดีๆ จะมีช่องผนังกระจกจากห้องนอนด้วยครับ ซึ่งจะช่วยทำให้เวลานั่งดูทีวีอยู่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดมากเกินไป แล้วยังทำให้ในห้องได้แสงเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยส่วนที่อยู่ติดกับระเบียงจริงๆจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ คล้ายๆกับห้อง Plus แค่ไม่ได้กั้นแยกเป็นสัดส่วนเท่านั้นเอง สุดท้ายคือห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบแยกออกไปเป็นส่วนตัว มีขนาดพื้นที่แต่งตัวค่อนข้างใหญ่ และมีห้องน้ำในตัวด้วย จึงอาจไม่เหมาะกับคนที่มีแขกมาหาบ่อยๆนัก เพราะจะเสียความเป็นส่วนตัวได้ แต่ถ้าอยู่คนเดียวหรือ 2 คนนี่สบายเลยครับ

    ห้อง 2 Bedroom ขนาด 75 ตร.ม. เป็นห้องขนาดใหญ่เกือบจะที่สุดของโครงการ (ใหญ่สุดคือ 2 Bedroom 108.5 ตร.ม. ครับ แต่ไม่มีแปลนให้ดูนะ มีแค่ 2 ยูนิตเท่านั้น) ซึ่งจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของห้อง Type นี้คือหน้ากว้างมาก ทำให้ Common area ที่อยู่ตรงกลางนั้นมีขนาดใหญ่มาก เหมาะที่จะชวนเพื่อนๆมาจัดปาร์ตี้ซะจริงๆครับ โดยระเบียงจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก ให้พอเปิดออกไปยืนสูดอากาศบริสุทธิได้เท่านั้น เพราะเค้าต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในนั่นเอง ส่วนห้องนอนก็จะมีขนาดใหญ่ไปด้วยครับ คราวนี้ที่ปลายเตียงจะกว้างพอที่จะทำชั้นวางทีวีได้แล้วด้วย แต่ตู้เสื้อผ้าของห้องนอนที่สองผมคิดว่าเล็กไปหน่อยนะ นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำ 2 ห้อง ไม่ต้องแย่งกันใช้ แต่พิเศษหน่อยสำหรับห้อง Master Bedroom ที่จะได้เป็นผนังกระจก Sexy Bath ด้วยครับ ห้องนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่อยากอยู่จริงในระยะยาว จนลูกโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ได้สบายๆเลยครับ

    …เป็นอย่างไรบ้างครับทุกคนสำหรับรีวิวโครงการ Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 ซึ่งต้องบอกเลยครับว่าครั้งนี้อนันดาปรับโฉมใหม่เยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องฟังก์ชันห้องที่มีหลายๆอย่างเพิ่มเข้ามา ช่วยให้การใช้ชีวิตเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม Lifestyle ของผู้พักอาศัย แต่สิ่งที่ประทับใจสำหรับผมมากที่สุดคือพื้นที่ส่วนกลางครับ โดยเฉพาะ Urban Courtyard ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งตอนที่สร้างเสร็จแล้วผมก็อยากเข้าไปเห็นของจริงมากๆเลยด้วย แล้วคนอื่นๆล่ะครับชอบโครงการนี้ตรงไหนเป็นพิเศษมั๊ย อย่าลืมมา comment บอกกันด้านล่างนี้ด้วยนะครับ ^^

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

    ราคา

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 3 December 2019

    • Studio 29.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
    • 1 Bedroom 34.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท
    • 1 Bedroom Plus 44 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
    • 2 Bedroom 65 – 75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.34 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Fitted
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.9 เมตร
    • Kitchen & Sink / ท็อปหิน Quartz
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Teka
    • มีรถ Shuttle Bus ไปกลับ BTS พระโขนง
    • จอง 10,000 – 30,000 บาท
    • ทำสัญญา 3%
    • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
    • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

    บทสรุป

    ทำเล : โครงการ  Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 ตั้งอยู่ติดถนนพระราม 4 ใกล้กับแยกพระโขนง ซึ่งย่านนี้เริ่มมีความคึกคักมากขึ้น หลังจากที่มีคอมมูนิตี้มอลล์มาเปิดใหม่อย่าง Summer Hill และ W District จึงทำให้ผู้คนเริ่มให้ความสนใจมาอยู่อาศัยในทำเลนี้กันเยอะขึ้น เพราะยังถือว่าเป็นทำเลที่ใกล้เมือง ห่างจากเอกมัย ทองหล่อ พร้อมพงษ์ เพียงแค่ 2 -3 สถานีเท่านั้นครับ และเวลานั่งรถไฟฟ้ากลับมาบ้านก็จะได้เดินผ่านร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านสะดวกซื้อต่างๆ เรียกได้ว่าสะดวกสบายดีทีเดียว หรือถ้าจะขับรถก็จะมีซอยสุขุมวิทฝั่งคู่ต่างๆ ให้ใช้ลัดเลาะเพื่อวน loop ย้อนกลับมาที่โครงการได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารถติดที่ถนนใหญ่ จุดกลับรถก็อยู่ไม่ไกล ใช้ถนนพระราม 4 ไปถึงสวนลุมก็ยังได้ครับ

    การเดินทางโดยใช้รถ : บริเวณนี้นอกจากจะมีจุดกลับรถให้ใช้งานได้สะดวกแล้ว ก็ยังมีทางด่วนให้เลือกใช้ 2 จุดด้วยกันครับ ทั้งทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช อยู่ห่างจากโครงการเพียงแค่ 1.7 – 2.3 km. และใช้เวลาเพียง 10 – 15 นาทีเท่านั้น รวมถึงมีซอยลัดต่างๆให้พอเลี่ยงรถติดได้อีกด้วย

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือว่าสะดวกครับ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ติดรถไฟฟ้า แต่ระยะ 350 m. ก็ถือว่าเป็นระยะเดินที่สบายๆ และเส้นทางระหว่างที่เดินก็ไม่เปลี่ยวด้วยนะ หรือถ้าไม่อยากเดินก็มีวินมอไซค์คอยบริการอยู่ทั้งหน้าโครงการ และตรงปากซอยใต้สถานีรถไฟฟ้า รวมถึงตัวโครงการก็อยู่ติดถนนใหญ่ เรียกรถแท็กซี่ง่าย จะเดินไปที่ป้ายรถเมล์เองก็ยังได้เลยครับ

    การออกแบบโครงการ : โครงการนี้มีร้านค้าอยู่ด้านหน้า 3 ยูนิต ซึ่งถึงแม้จะเปิดให้คนภายนอกเข้ามาใช้งานได้ก็จริง แต่ผมก็มองว่าโครงการนี้มีการแบ่งพื้นที่ได้ค่อนข้างชัดเจนและเป็นส่วนตัวมากๆครับ สังเกตได้จากการกั้น Key Card Access ทั้งตรงทางเข้าโครงการชั้น 1 และชั้น 32 ที่มีโซนพักอาศัยอยู่ร่วมกันส่วนกลาง รวมถึงชั้น Facilities ก็แยก Private Zone กับ Active Zone ออกจากกันด้วยสวนและโถงทางเดินแบบ Semi-Outdoor

    ส่วนโพเดี้ยมก็ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ และมีช่องว่างตรงกลาง ทำให้ชั้นบนกับชั้นล่างเชื่อมต่อถึงกัน และเกิดการถ่ายเทอากาศได้อีกด้วยครับ ส่วนชั้นพักอาศัยด้านบนจะเหลือเพียงอาคารรูปตัว L เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะไม่บังวิวกันเองแล้ว ยังสามารถมองเห็น Facilities บนชั้นโพเดี้ยมที่ยื่นออกไปได้ง่ายขึ้นอีกด้วยนะ ส่วนตำแหน่งลิฟต์อยู่ตรงกลางใช้งานได้สะดวกดีแล้ว แต่ก็มีอัตราส่วนลิฟต์มากถึง 160.5 :  1 ถือว่าค่อนข้างหนาแน่นครับ และผมยังมองว่าตำแหน่งห้องทางปีกซ้าย ที่ประตูห้องอยู่ตรงกันพอดี แบบนี้จะทำให้เสียความเป็นส่วนตัวพอสมควรเลยครับ

    การออกแบบห้อง : โครงการนี้มีแบบห้องให้เลือกค่อนข้างหลากหลายครับ แต่สิ่งที่สัมผัสได้อย่างหนึ่งคือ ถึงแม้ว่าแบบห้องส่วนใหญ่จะยังเป็นตอนลึก แต่ทางโครงการก็พยายามออกแบบให้ทางเข้าห้องด้านหน้า บริเวณ Common area มีความกว้างมากกว่าพื้นที่ด้านใน เพื่อให้เวลาเข้าห้องมาจะรู้สึกโปร่งโล่งไม่อึดอัด ซึ่งหลายๆห้องจะไม่ได้เน้นพื้นที่โซฟานั่งเล่นที่ใหญ่หรืออยู่ติดระเบียงมากนัก (ขนาดพอดีๆ และได้แสงเพียงพอ)

    แต่จะเน้นพื้นที่ครัวที่ค่อนข้างใหญ่ เป็นครัวปิดหรือกั้นได้ในอนาคต ทำให้ทำอาหารได้จริงจัง มีห้องน้ำที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ได้ทั้งความสะดวกและเป็นส่วนตัว กับไม่ทำระเบียงในห้องนอน เพราะต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในที่เราจะได้ใช้ประโยชน์ได้บ่อยกว่า นอกจากนี้ก็จะมีฟังก์ชันพิเศษอื่นๆที่อนันดาได้นำมาใช้กับโครงการนี้เป็นครั้งแรกครับ อย่างตำแหน่งวางเครื่องซักผ้าในห้องน้ำของห้อง Studio ซึ่งผมมองว่าเป็นสัดส่วน ใช้งานก็สะดวก และลดปัญหาเรื่องความชื้นได้ดี

    วัสดุ : ขายแบบ Fully Fitted จะต้องเผื่อเงินไว้ซื้อของแต่งห้องเพิ่มนะครับ โดยสิ่งที่ได้แตกต่างจากโครงการอื่นๆ จะเป็นตู้เก็บรองเท้า Built in ที่ทำฟังก์ชันออกแบบมาพิเศษ ให้เก็บของได้เยอะ แต่ประหยัดเนื้อที่มากๆ รวมถึงพวกวัสดุปิดผิวของบานตู้ต่างๆ ที่เป็นลามิเนตแบบมีลวดลาย และสีพิเศษที่แต่ละ type ก็จะแตกต่างกันออกไปอีกด้วย สุดท้ายจะเป็น 2 สิ่งที่ทางอนันดาเพิ่งเคยใช้ในโครงการนี้เป็นที่แรกก็คือ ชุดปลั๊กข้างเตียงที่มีช่องเสียบ USB กับชั้นวางของบนตู้ในครัว ที่สามารถดึงลงมาได้นั่นเองครับ

    สาธารณูปโภค : ส่วนตัวผมชอบ Urban Courtyard ตรงชั้น 1 ของโครงการมากครับ ทำลักษณะเหมือนเป็น Oasis กลางหุบเขาธรรมชาติได้ดีทีเดียว และยังมีน้ำตกช่วยสร้างบรรยากาศได้อีกด้วย ส่วนชั้น Main Facilities ก็มีฟังก์ชันให้ใช้งานครบครับ ทั้ง Co-Creative Space, Meeting Room, Swimming Pool และโดยเฉพาะ Fitness ที่เปิด 24 ชม. ให้ได้เล่นเวลาไหนก็ได้ กับ Aqua Exercise Equipment ที่ให้ผู้สูงอายุมาบริหารร่างกายได้ รวมถึงมี Sky Lounge กับสวนบนชั้นดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวได้อีกด้วยครับ และสิ่งที่ผมชอบอีกอย่างคือ การที่มีพื้นที่แบบ Indoor และ Semi-Outdoor ให้เราได้เลือกใช้นั่นเอง

    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

    ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

    เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 140,000 บาท/ตร.ม., 3 December 2019

    • ทำเล 8/10 – ติดถนนใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ในระยะเดินสูง
    • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – มีทางลัดเลาะ ใกล้จุดกลับรถ ไม่ไกลทางด่วน จอดรถ 53%
    • ไม่ใช้รถ 8.5/10 – เรียกรถสาธารณะได้ง่าย ใกล้รถไฟฟ้า 350 m.
    • วัสดุ 7.75/10 – วัสดุมาตรฐาน Fully Fiitted ต้องซื้อเพิ่ม
    • แบบ 8.5/10 – แบ่งโซนชัดเจน ฟังก์ชันห้องเป็นสัดส่วน ใช้งานง่าย Common area กว้างดี ฝ้าสูง 2.9 m.
    • สาธารณูปโภค 7.75/10 – มีครบ เน้นความเป็นธรมชาติ ฟิตเนส 24 ชม. ที่โซนออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ

    • HIGH CLASS
    • 8.025 / 10.00

    BOTTOM LINE

    โครงการ Ideo สุขุมวิท – พระราม 4 เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดย่านพระโขนง ที่ใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ เดินมาใช้ BTS ได้ง่าย ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง โดยเฉพาะพื้นที่สีเขียว กับเครื่องออกกำลังกายในน้ำ และมีฟังก์ชันห้องให้เลือกหลากหลาย โดยเน้นพื้นที่ครัวปิดหรือหน้าห้องกว้างๆเป็นหลัก มีงบประมาณ 3.59 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 25,000 บาท/เดือนขึ้นไป


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving