
สร้างเสร็จแล้ว!! ..ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวขายแล้วนะครับ เพราะว่า The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) เป็นโครงการที่แสนสิริตั้งใจจะสร้างให้เสร็จ 100% ก่อนแล้วค่อยขาย ทำให้คนที่จะซื้อสามารถได้เห็นห้องจริง วิวจริง และส่วนกลางจริง ก่อนตัดสินใจซื้อจริง โดยโครงการนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ Lifestyle คนในเมืองโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว และทำเลก็จัดได้ว่าเป็นทีเด็ดไม่เหมือนใคร สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้แยกผังเมือง ใกล้ทางด่วนศรีรัช เดินทางด้วยรถสะดวกแบบนี้ก็จัดไปเลยที่จอดรถ 54% เยอะเป็นอันดับต้นๆของย่าน
- ความเป็นส่วนตัวสูงมาก ไม่ใช่แค่ยูนิตน้อยเท่านั้น แต่เพื่อนบ้านร่วมชั้นยังน้อย และยังได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor อีกด้วย
- มีแบบห้องให้เลือกเยอะมาก ทั้งแบบ Simplex และห้องสไตล์ Loft โดยจะเน้นห้องหน้ากว้างและมีความสว่างโปร่งโล่งสูง
ข้อมูลโครงการ
The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) ณ วันที่ 2 กันยายน 2568
ชื่อโครงการ | The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) |
SEGMENT CLASS | UPPER-HIGH CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2023 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง |
ที่ดิน | ประมาณ 1 ไร่ |
ประเภทคอนโด | High Rise 29 ชั้น 1 อาคาร |
จำนวนยูนิต | 311 ยูนิต |
ที่จอดรถ | 54% (Auto Parking 162 + Conventional 7 = 169 ช่องจอด) |
สถานะโครงการ | สร้างเสร็จพร้อมอยู่ |
ประเภทห้องพัก |
|
ราคาเริ่มต้น | 3.7 – 10 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | 128,000 บาท/ตร.ม. |
เว็บไซต์โครงการ | คลิกที่นี่ |
Call Center | 1685 |
ทำเลที่ตั้ง
Highlights :
- ติดถนนใหญ่และแยกผังเมือง เดินทางด้วยรถยนต์สะดวกมาก
- ใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 1 km.
- ใกล้รถไฟฟ้า MRT 2 สาย (สีน้ำเงิน และสีส้มในอนาคต)
- สามารถใช้เส้นทางถนนวัฒนธรรม-เทียมร่วมมิตร เพื่อวนเข้าเมืองไปทางรัชดาได้สะดวกมาก โดยไม่ต้องเสียเวลากลับรถ
พิกัด Google Maps : 13.755757671912813, 100.5726751686951
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
โครงการ The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) ทำเลตั้งอยู่ติดกับแยกผังเมืองเลยครับ แน่นอนว่าโซนพระราม 9 นี้เป็นย่าน New CBD ที่มีความเจริญและคึกคักสูงมาก เพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ และระบบสาธารณะที่สำคัญครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนศรีรัชและรถไฟฟ้าใต้ดินทั้ง 2 สาย
และด้วยความที่ทำเลติดกับแยกผังเมืองเลยแบบนี้ เลยทำให้เราสามารถขับรถไปใช้เส้นทางของถนนวัฒนธรรม-เทียมร่วมมิตร เพื่อเชื่อมต่อไปยังโซนรัชดา-ลาดพร้าวได้สะดวก โดยที่ไม่ต้องไปเสียเวลากลับรถเลยครับ
ดังนั้นโครงการนี้จึงเหมาะกับคนที่มองหาคอนโดโซนพระราม 9 ที่สามารถเดินทางสะดวกโดยเฉพาะรถยนต์ รวมถึงอาจเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อปล่อยเช่าให้กับชาวออฟฟิศที่ทำงานอยู่แถวรัชดา และยังมี Demand จากชาวต่างชาติที่นิยมอยู่คอนโดในย่านนี้อีกเยอะเลยทีเดียวนะ
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า :
The Base Urban Rama 9 มีรถไฟฟ้าใกล้ๆให้ไปใช้งานได้ถึง 2 สาย คือ MRT สายสีน้ำเงินที่เป็นเส้นหลักในปัจจุบัน และอนาคตยังมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี) ให้ใช้งานอีกด้วยนะ ซึ่งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าของทำเลนี้นับว่าเป็นเส้นทางเลี่ยงรถติดและประหยัดเวลาได้ดีที่สุดเลยครับ
- MRT สถานี พระราม 9 : ระยะทางประมาณ 800 m. จึงไม่ใช่ระยะที่เดินไปใช้งานได้ อาจต้องต่อรถอีกสักหน่อย หรือถ้าใครที่เน้นใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็จะมีอีกตัวเลือกที่สะดวกคือ MRT สถานี ศูนย์วัฒนธรรม ที่เรานั่งรถไปใช้ได้ด้วยเส้นทางจากถนนเทียมร่วมมิตรนั่นเอง
- MRT สถานี รฟม. : ระยะทางประมาณ 300 m. เป็นระยะที่สามารถเดินไปใช้งานได้สบายๆเลยครับ โดยข้อมูลล่าสุดคาดการณ์ว่าน่าจะเปิดประมาณปี พ.ศ. 2571 หรืออีก 3 ปีข้างหน้านี้เอง
ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :
หากพูดถึงแยกผังเมืองก็จะต้องนึกถึงจุดขึ้นทางด่วนศรีรัชครับ โดยถ้าเราสามารถกลับรถตรงแยกผังเมืองหน้าโครงการได้ทันก็จะมีระยะทางอยู่ที่ประมาณ 1 km. เท่านั้น ถือว่าใกล้มากๆ
แต่ด้วยระยะที่ค่อนข้างกระชั้นชิดเพียงไม่กี่สิบเมตร ทำให้อาจไม่สามารถกลับรถได้ทัน และเพื่อความปลอดภัย เราจะแนะนำให้เลยไปกลับรถอีกจุดนึงข้างหน้า ซึ่งจะมีระยะทางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3 km.
ส่วนถ้าเป็นจุดขึ้นทางด่วนศรีรัชฝั่งขาออก ที่สามารถไปเชื่อมต่อทางด่วนฉลองรัช และมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี ก็จะมีระยะห่างจากโครงการประมาณ 1 km. เท่านั้น
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
บริบทรอบๆโครงการของคอนโด The Base Urban Rama 9 จะมีความพิเศษกว่าโครงการส่วนใหญ่ในย่านคือ ทางทิศตะวันออกเราจะได้เป็นวิวเปิดโล่งทางฝั่งของสวน รฟม. ซึ่งจะไม่มีตึกสูงบังวิวเลยครับ (ถึงแม้ว่าจะมีที่ดินแปลงข้างๆมาคั่นอยู่บ้าง แต่ลองเช็กแล้วคิดว่าน่าจะทำเป็นตึกสูงไม่ได้นะ) ส่วนทางด้านอื่นๆที่เหลือก็จะมีตึกสูงบังวิวส่วนหนึ่งอยู่บ้างครับ แต่ก็ไม่ใช่ทิศหลักของห้องพักในคอนโดสักเท่าไหร่ สามารถสรุปได้ดังนี้
ทิศเหนือ : เป็นบริเวณด้านหลังโครงการ ติดกับที่ว่างและได้วิวเปิดโล่งไปทางฝั่งถนนวัฒนธรรม-เทียมร่วมมิตร-รัชดา
ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักของโครงการ ด้านหน้าอยู่ติดกับถนนใหญ่พระราม 9 และฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารว่องวานิชที่เป็นตึกสูง ระยะไกลมองเห็นวิวไปทางอโศก-สุขุมวิท
ทิศตะวันออก : ถือเป็นมุม Highlight หลักของโครงการ และเป็นวิวที่ห้องพักส่วนใหญ่จะหันมารับวิวด้วย แปลงที่ดินของเราจะอยู่ติดกับที่ว่างข้างๆ และคั่นด้วยถนนวัฒนธรรม แต่เราจะได้วิวเปิดโล่งของสวน รฟม. ที่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และมองออกไปทางโซนรามคำแหง
ทิศตะวันตก : อยู่ติดกับ วี.วรรณทาวเวอร์ ที่เป็นอาคารสูง แต่ก็ไม่ได้บังวิวทั้งหมดนะครับ เพราะโซนด้านหน้าโครงการยังพอจะสามารถมองเห็นวิวเปิดโล่งไปตามถนนจนถึงแยกพระราม 9 ได้อยู่ด้วย
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- เซ็นทรัลพระราม 9 ~ 900 เมตร
- ห้างสรรพสินค้าฟอร์จูนทาวน์ ~ 1.2 กม.
- เดอะ สตรีท รัชดา ~ 1.9 กม.
- เอสพละนาด รัชดา ~ 2.3 กม
อาคารสำนักงาน
- อาคารยูนิลิเวอร์ เฮ้าส์ (Unilever House) ~ 600 เมตร
- อาคารจี ทาวเวอร์ ( G Tower )~ 750 เมตร
- อาคารทรู ทาวเวอร์ (True Tower) ~ 1.6 กม.
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลพระราม 9 ~ 600 เมตร
- โรงพยายาลปิยะเวท ~ 2 กม.
- โรงพยาบาลกรุงเทพ ~ 3.1 กม.
- โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ~ 4 กม.
การเดินทาง
- MRT สถานีพระราม 9 ~ 800 เมตร
- MRT สายสีส้มสถานี รฟม. ~ 300 เมตร
รายละเอียดโครงการ
Highlights :
- จำนวนยูนิตน้อย มีความเป็นส่วนตัว
- โถงทางเดินหน้าห้องแบบ Single Corridor ไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามให้เสียความเป็นส่วนตัว
- ที่จอดรถ Auto Parking เยอะถึง 54%
- วางตำแหน่งห้องพักส่วนใหญ่รับวิวเปิดโล่งทางสวน รฟม. ได้ดี
The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดเพียง 1 ไร่ ซึ่งถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านในย่านเดียวกันก็ถือได้ว่าเป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความเป็นส่วนตัว เพราะมีจำนวนยูนิตเพียง 311 ยูนิตเท่านั้น และลักษณะผืนที่ดินจะเป็นทรงสามเหลี่ยม ที่ส่งผลต่อการจัดแปลนอาคารทำให้เกิดความพิเศษเฉพาะตัวด้วยเหมือนกันครับ
นอกจากนี้เค้ายังเป็นโครงการที่สร้างเสร็จก่อนขาย ดังนั้นเวลาที่เราเข้าไปชมโครงการก็จะสามารถเห็นห้องจริงวิวจริงได้เลย (ไม่ต้องจินตนาการ หรือไม่ต้องเสี่ยงได้ห้องที่ไม่ตรงกับที่คิด) ซึ่งแตกต่างจากคอนโดทั่วไปมากๆ ใครสนใจก็สามารถเข้าไปชมของจริงได้แล้ววันนี้ หรือจะลองอ่านรีวิวทำการบ้านกันก่อนก็ได้ครับ เพราะเราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้แล้ว สามารถตามไปรับชมกันได้เลย
สำหรับชั้นแรกจะเน้นเป็นพื้นที่ต้อนรับปกติเลย ก็จะมีแค่ Lobby และ Mail Box ที่สิ่งที่พิเศษกว่าโครงการอื่นคือ ที่จอดรถเกือบทั้งหมดจะเป็น Auto Parking โดยจะแบ่งออกเป็น 3 Slot ให้ขับรถเข้าไปจอดได้แบบอัตโนมัติ และมีเส้นทางคนเดินเชื่อมต่อกับ Lobby ที่อยู่ด้านในอาคารอยู่แล้ว จึงทำให้มีความสะดวกพอสมควร
มาเริ่มกันที่ด้านหน้าโครงการ ขวามือจะเป็นป้อม รปภ. ที่จะมีพี่ยามคอยดูแลตลอด 24 ชม. อีกทั้งเราจะสังเกตได้ว่าด้านหน้านี้จะไม่มี Main Gate หรือไม้กั้นเลย เนื่องจากการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยเวลาขับรถเข้า-ออกครับ
เพราะด้วยทางเข้าจะอยู่ติดถนนใหญ่ และค่อนข้างใกล้ทางแยกมากๆ ทางโครงการจึงขยับไม้กั้นให้เข้าไปอยู่ด้านใน เพื่อให้มีระยะในการชะลอรถหรือจอดต่อคิวนั่นเอง นับว่าโครงการมีความใส่ใจในการออกแบบที่ดีเลยทีเดียว
สำหรับ Visitor หรือรถแท็กซี่ที่ต้องการมาวนรับ-ส่งผู้โดยสาร ก็สามารถมาจอดรถ Drop-Off บริเวณด้านหน้าอาคารได้เลยครับ ซึ่งก็จะตกแต่งผนังเป็นโทนสีแดงที่แสดงถึงความ Active เป็นเอกลักษณ์มากๆเลยทีเดียว (ส่วนตัวเราแอบตั้งชื่อเป็นสี Ruby เพราะให้ความรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในถ้ำทับทิมอะไรแบบนั้น)
สำหรับลูกบ้านที่ต้องการขับรถส่วนตัวไปจอดในอาคาร ก็สามารถเลี้ยวมาทางซ้ายมือของอาคาร เราก็จะเจอกับไม้กั้นกระดกที่จะเปิดให้อัตโนมัติสำหรับรถที่ลงทะเบียนเอาไว้
ซึ่งไม่ใช่แค่การสแกนป้ายทะเบียนแบบทั่วไปเท่านั้นครับ แต่เค้าจะตรวจสอบได้ถึงชนิดของรถยนต์ว่าเป็นยี่ห้ออะไร เช่น Sedan หรือ SUV เพื่อที่ระบบจะได้จัดช่องจอดรถให้ได้ถูกต้อง โดยเราสามารถดูบนจอแสดงผลได้เลยครับว่าต้องไปใช้ลิฟต์ตัวไหน
เมื่อไม้กั้นเปิดออกแล้วเราก็ขับเลี้ยวมาตามทาง ก็จะเจอกับช่องจอดรถอัตโนมัติ 3 ช่องด้วยกัน ซึ่งเราก็จะต้องขับเข้าไปจอดตามช่องที่ระบบได้ระบุไว้เท่านั้นนะครับ
ด้านในจะเป็นลิฟต์ที่จะยกรถของเราขึ้นไปเก็บให้อัตโนมัติด้านบน และขาออกก็จะต้องออกทางเดิมเลยครับ โดยที่ถาดลิฟต์จะทำการกลับรถหันหน้าออกให้เราแบบอัตโนมัติ (ตอนขับรถเข้ามาเราหันหน้าเข้าไงครับจำได้มั้ย)
อันนี้เป็นเคสพิเศษที่เราได้มีโอกาสพาทุกคนขึ้นมาดูชั้นจอดรถด้านบน (ปกติถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่เค้าห้ามขึ้นนะครับ) ซึ่งรถแต่ละคันก็จะจอดอยู่บน Palet ของตัวเองแบบนี้ และแนะนำว่าให้พับกระจกรถทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
ชั้นจอดรถแบบ Auto Parking จะกินพื้นที่ตั้งแต่ชั้น 1 – 14 และมีช่องจอดทั้งหมด 162 คัน โดยจะแบ่งสัดส่วนเป็นรถ Sedan = 120 คัน และรถ SUV = 42 คัน ซึ่งจะ Fixed ตามนี้เลยครับ เพราะมีข้อจำกัดความสูงของหลังคารถ ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนออกแบบเรียบร้อยแล้ว และลูกบ้านก็จำเป็นต้องแจ้งชนิดของรถกับทางนิติให้เรียบร้อยด้วยนะ
ซึ่งการที่ทางโครงการเลือกใช้เป็นระบบ Auto Parking ก็เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกบ้านที่ส่วนใหญ่จะต้องเน้นใช้รถกันเยอะแน่ๆ เพราะทำเลตรงนี้ค่อนข้างใช้รถสะดวกพอสมควรเลย
โดยระบบ Auto Parking จะใช้พื้นที่น้อยกว่าการทำชั้นจอดรถแบบปกติ ทำให้มีอัตราส่วนจอดรถรวมกันถึง 54% (เยอะกว่าเพื่อนบ้านหลายๆโครงการในย่านซะอีกครับ) แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องค่า Maintenance ประจำปีที่ค่อนข้างสูง เลยทำให้มีค่าส่วนกลางที่สูงอยู่สักหน่อยครับ
เข้ามาดูภายในอาคารกันบ้าง เริ่มจาก Lobby จะได้ฝ้าเพดานสูงโปร่ง พร้อมชุดโซฟาขนาดใหญ่ให้นั่งเล่นพักผ่อน รวมถึงยังใช้เป็นจุดนั่งพักคอยสำหรับ Visitor อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ยังใช้เป็นจุดนั่งคอยลิฟต์ที่กำลังนำรถลงมาให้อีกด้วยนะ
โดยเราสามารถนำ Card มาแตะที่แผงควบคุมเพื่อเรียกรถได้ ซึ่งจะมีหน้าจอแสดงผลให้เห็นชัดเจนเลยว่า รถของเราจะอยู่ที่ลิฟต์ช่องไหน คิวที่เท่าไหร่ และใช้เวลากี่นาที ซึ่งเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 นาทีครับ
และเมื่อระบบแจ้งว่าลิฟต์ได้นำรถของเราลงมาเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเดินไปรับรถได้โดยผ่านประตูกระจกที่อยู่ทางขวามือ ซึ่งจะมีโถงทางเดินแยกออกไปยังลิฟต์ Auto Parking ทั้ง 3 ช่อง ทำให้มีความเป็นส่วนตัวไม่รบกวนพื้นที่โซน Lobby เลยครับ (ตอนที่มาจอดรถเราก็ต้องเดินผ่านเส้นทางนี้เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นลิฟต์โดยสารของอาคารเหมือนกัน)
อีกด้านหนึ่งของโถง Lobby จะมีประตูเชื่อมต่อกับโถงทางเดินตรงยาวไปทางโซนด้านหลังอาคาร ซึ่งจะประกอบด้วยฟังก์ชันอื่นๆแยกออกจากโซนพักผ่อนของลูกบ้าน ได้แก่ ห้องนิติบุคคล / Mail Box & Smart Locker / ห้องน้ำ
และที่สุดทางเดินจะมีประตูเปิดออกไปด้านหลังอาคารได้ ซึ่งก็จะเป็นจุดจอดรถ EV Charger นั่นเอง หากใครที่มีรถยนต์ไฟฟ้าและต้องการชาร์จไฟก็สามารถมาใช้บริการกันได้นะครับ
โดยช่องจอดจะมีเตรียมเอาไว้ให้ประมาณ 2 – 3 คันแบบนี้
สำหรับโถงลิฟต์จะอยู่บริเวณด้านหน้าสุดของ Lobby ที่เราเข้ามาในตอนแรกเลยครับ ซึ่งจะมีให้ใช้งานอยู่ 2 ตัวด้วยกัน และการขึ้น-ลงก็จะต้องใช้ Keycard ทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว
ตั้งแต่ชั้น 3 – 14 จะเป็นชั้นพักอาศัยที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น Auto Parking ทำให้กลายเป็นโซนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะมีเพื่อนบ้านร่วมชั้นเพียง 11 ยูนิตเท่านั้น โดยที่ชั้น 3 – 6 จะเป็นห้อง Loft ที่ได้ฝ้าเพดานสูงนะครับ ส่วนชั้นอื่นๆจะเป็นห้องแบบ Simplex ฝ้าเพดานปกติ ดังนั้นชั้นล่างๆนี้จึงเหมาะกับคนที่ไม่เน้นวิว แต่เน้นความเป็นส่วนตัวแทนนั่นเอง
ชั้น 15 – 21 จะเป็นชั้นพักอาศัยแบบเต็ม Floor โดยมีเพื่อนบ้านทั้งหมด 17 ยูนิต จุดเด่นคือ โถงทางเดินหน้าห้องของทั้งอาคารจะเป็นแบบ Single Corridor คือจะไม่มีห้องพักฝั่งตรงข้ามที่เปิดประตูออกมาเจอกันเลย เพราะด้วยลักษณะอาคารที่เป็นทรงสามเหลี่ยมตามแปลงที่ดิน และตรงกลางก็ถูกจัดเป็นบันไดกับลิฟต์โดยสาร ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูงมากๆครับ
สำหรับรูปแบบห้องพักอาศัยจะมีการแบ่งโซนกันชัดเจนดังนี้
- กรอบสีแดง : เป็นห้องขนาดเริ่มต้นของโครงการที่มีลักษณะเป็นตอนลึก ทำให้มีราคาจับต้องได้ง่าย และปัจจุบันยังได้วิวเปิดโล่งทางถนนใหญ่ด้านหน้าโครงการอยู่ครับ เพราะตึกสูงของ วี.วรรณทาวเวอร์ จะอยู่เยื้องไปทางด้านหลังนั่นเอง
- กรอบสีน้ำเงิน : เป็นห้องมาตรฐานของโครงการที่มีสัดส่วนเยอะที่สุด และถูกจัดเป็นห้องหน้ากว้าง เพราะเป็นทิศที่ได้วิวเปิดโล่งมากที่สุดของโครงการ ซึ่งมองออกไปทางสวน รฟม. ที่อยู่ข้างๆกันนี่เองครับ
- กรอบสีส้ม : เป็นห้องหน้ากว้างที่หันไปทางถนนใหญ่พระราม 9 ด้านหน้าโครงการ ทำให้มีระยะห่างจากตึกสูงฝั่งตรงข้ามพอสมควร แต่ถ้าหันไปมองซ้าย-ขวาก็ยังได้วิวถนนเปิดโล่งอยู่ โดยห้องทั้ง 3 จะเป็น Type พิเศษที่มีอยู่เพียงชั้นละ 1 ยูนิตเท่านั้น ถ้าแปลนห้องตอบโจทย์ Lifestyle การใช้ชีวิตของเราก็ลองดูกันได้นะครับ
- กรอบสีเขียว : เป็นห้องขนาดใหญ่ที่สุดของชั้นและมีเพียง 1 ยูนิต/ชั้น ซึ่งเป็นเพียงห้องเดียวที่มีตำแหน่งอยู่ทางโซนด้านหลังโครงการ และได้วิวที่เปิดโล่งถึง 2 ด้านอีกด้วย เราว่าเป็นอีกหนึ่งห้องที่เหมาะกับการอยู่แบบครอบครัวจริงจังดีมากๆเลยทีเดียว
- กรอบสีม่วง : เป็นเพียงห้องเดียวที่ไม่มีผนังติดกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆเลย ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนที่อาจมาจากห้องข้างๆ แต่ด้วยตำแหน่งห้องอาจถูกตึก วี.วรรณทาวเวอร์ บังวิวบางส่วนอยู่บ้าง ยังไงก็ลองเข้าไปชมของจริงกันดูก่อนได้นะครับ เราคิดว่าเผลอๆราคาอาจจะดีด้วยซ้ำนะ
นี่คือบรรยากาศของโถงทางเดินชั้นพักอาศัยที่เป็น Single Corridor ที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ครับ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวที่ดีมากขึ้น เพราะเวลาเปิดประตูก็จะไม่ต้องเจอกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมองเข้าไปในห้องเลยนั่นเอง
ชั้น 22 ตัวอาคารจะมีการร่นระยะจากถนนใหญ่ด้านหน้าตามกฎหมายควบคุมอาคาร จึงทำให้มีเพื่อนบ้านร่วมชั้นน้อยลงเหลือ 12 ห้อง และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งบริเวณด้านหน้าจะถูกจัดเป็นพื้นที่สวนให้ใช้งานและออกไปพักผ่อนชมวิวได้ครับ โดยเฉพาะคนที่พักอาศัยอยู่ชั้นนี้จะสามารถมาใช้งานได้สะดวกสุดๆเลย เผลอๆอาจกลายเป็นสวนส่วนตัวด้วยนะ เพราะเรามักจะเคยได้ยินมาบ่อยๆว่า คนจากชั้นอื่นๆอาจไม่ค่อยได้มาชั้นที่มีแต่สวนแบบนี้เท่าไหร่ แต่มักจะเลยไปใช้ชั้น Main Facilities มากกว่านั่นเอง
และนี่ก็คือบรรยากาศของสวนบนชั้น 2 ที่เราสามารถมานั่งเล่นพักผ่อนและชมวิวได้ ซึ่งเราแนะนำให้มาใช้งานตอนช่วงแดดร่มๆนะครับ
แปลนชั้น 24 – 26 จะเป็นชั้นที่มีเพื่อนบ้าน 12 ยูนิต เหมาะกับคนที่ชอบชมวิวมุมสูงๆจากภายในห้องของตัวเองครับ
ชั้น 27 จะเป็นชั้น Main Facilities ที่หลักๆจะประกอบด้วยสระว่ายน้ำ และพื้นที่สีเขียวสำหรับนั่งพักผ่อน โดยทั้งหมดจะอยู่ในร่มของอาคาร ทำให้สามารถมาใช้งานได้ตลอดทั้งวันไม่กลัวแดดกลัวฝนเลยครับ
และนี่คือบรรยากาศของสระว่ายน้ำ ด้านข้างเป็นที่นั่งพักผ่อนที่กระจายตัวอยู่ 2 จุดหลักๆ
โดยวิวจากสระว่ายน้ำเราจะมองเห็นพื้นที่สีเขียวของสวน รฟม. ได้แบบนี้เลยครับ ซึ่งถ้าใครลงไปว่ายน้ำก็สามารถไปนั่งเล่นชมสวนตรงใกล้ๆขอบสระได้ด้วย และไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนะ เพราะรอบๆจะมีราวกันตกกระจกกั้นเอาไว้แล้วแบบนี้นั่นเอง
ด้านข้างของสระยังมี Shower ให้ล้างตัวก่อนลงสระได้ด้วยครับ
อีกด้านหนึ่งของอาคารจะเป็นพื้นที่สวนในร่ม พร้อมจุดนั่งเล่นพักผ่อนให้เราสามารถมานั่งรับลมและชมวิวเพลินๆได้
นี่เป็น Day Bed บริเวณปลายสระอีกจุดหนึ่ง และทางขวามือเราจะเห็นว่ามีทางเดินแยกออกไปอีกด้านหนึ่งของอาคารด้วย (เป็นอีกด้านหนึ่งของโถงลิฟต์) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันใช้งานอื่นๆอีกครับ
เริ่มที่ห้องน้ำแยกชาย-หญิง เราสามารถมาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายหลังอาบน้ำเสร็จได้ และใครที่มีของใช้ส่วนตัวก็เอามาเก็บในตู้ล็อคเกอร์นี้ได้ด้วยครับ
ติดกันจะเป็น Laundry ภายในมีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าหยอดเหรียญให้ใช้งาน ถ้าใครที่ไม่ได้มีเครื่องส่วนตัวที่ห้องพักก็สามารถแวะมาใช้บริการได้นะครับ และระหว่างที่รอก็ไปนั่งเล่นชิลๆในสวน หรือจะว่ายน้ำรอก็ได้
สุดท้ายจะเป็น Semi-Outdoor Lounge ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบโซฟาขนาดใหญ่ อีกทั้งยังล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สีเขียวอีกด้วย เหมาะที่จะมานั่งพูดคุยกับเพื่อนๆเป็นกลุ่มมากๆครับ
หรือถ้าใครอยากนั่งแบบจริงจัง ก็จะมีโต๊ะขนาดใหญ่ให้ใช้งานอยู่ข้างๆแบบนี้ครับ สามารถจัดเป็นปาร์ตี้เล็กๆ หรือนั่งทานอาหารร่วมกันได้สบายๆ
แปลนชั้น 28 จะเป็นชั้น Main Facilities อีกชั้นหนึ่ง โดยจะเน้นเป็นพื้นที่ทำงานที่เรียกว่า The Work & Life Hub ประกอบด้วย Co-Working Space + Life Lounge และ Fitness ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพื้นที่ Indoor ในห้องแอร์เกือบทั้งหมด แต่ถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ยังมีสวนเล็กๆแบบ Outdoor ให้ใช้ด้วยนะครับ
เริ่มกันที่หน้าโถงลิฟต์จะมีความโปร่งโล่งจากช่องแสงขนาดใหญ่ ซึ่งด้านนอกจะเป็นสวนให้เราได้ออกไปใช้งานสูดอากาศและชมวิว แบบที่เราบอกไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
และเมื่อเราเข้ามาภายใน The Work & Life Hub โซนแรกเราจะเจอกับ Co-Working Zone โดยจะมีพื้นที่นั่งทำงานหลายจุดให้เราเลือกตามอัธยาศัย
ไม่ว่าจะเป็นโซฟา โต๊ะทำงานแบบเดี่ยว หรือโต๊ะขนาดใหญ่สำหรับงานกลุ่ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคนี้ที่เริ่มจะทำงานแบบ WFH กันมากขึ้น
และจุดเด่นที่เราชอบมากๆอีกอย่างคือ ช่องแสงขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สามารถชมวิวเมืองโดยรอบได้เต็มที่และสวยงามมากๆเลยครับ
อีกด้านหนึ่งจะมีห้องเล็กๆแยกออกไป เรียกว่า Focus Room สำหรับใครที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว เช่น โทรศัพท์ / ประชุมงาน ก็สามารถแยกตัวออกมาใช้ห้องนี้ได้เลย เราชอบที่โดยรอบมีการกรุผนังเป็นผ้าสักหลาดทั้งหมด ทำให้กลายเป็นห้องเก็บเสียงไปด้วยในตัวนั่นเอง
ถัดมาระหว่างโถงทางเดินเชื่อมต่อฟังก์ชันก็จะมีจุดให้นั่งเล่น และมีห้องประชุมขนาดใหญ่ให้ใช้งานร่วมกันได้ 6 คน มาพร้อมจอทีวีขนาดใหญ่ และมีประตูบานเลื่อนกันปิดได้เพื่อความเป็นส่วนตัว
โซนต่อมาคือ Refreshment เป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อนที่อยู่ระหว่าง Co-Working Space และ Fitness ใครที่ทำงานหรือออกกำลังกายเหนื่อยๆ ก็สามารถมานั่งพักผ่อนกันที่โซนนี้ได้
จุดเด่นของห้องนี้ก็คือ จะมีเครื่องกดน้ำให้เราได้ใช้บริการแบบนี้ด้วยนะ โดยเฉพาะตู้เต่าบินเราชอบมากๆเลย เพราะเวลานั่งงานแล้วรู้สึกง่วงๆ ก็สามารถมากดกาแฟให้ตาตื่นๆ มีแรงทำงานต่อได้สบายๆ
ถัดมาจะเป็น Fitness ภายในมีอุปกรณ์เยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งโซน Cardio และ Weight Training สามารถมาใช้งานพร้อมๆกันได้หลายๆคนเลยครับ
โดยเฉพาะโซนของลูวิ่งเราจะสามารถชมวิวสวน รฟม. และวิวเมืองได้ด้วยได้แบบเพลินๆเลย
สุดท้ายจะเป็นห้อง Body Studio with Pilates แยกออกมา ภายในมีอุปกรณ์ให้ใช้งานแบบนี้ตามรูปเลยครับ
ชั้น 29 จะเป็นชั้น Rooftop ที่เราสามารถขึ้นมาใช้งานได้ด้วยลิฟต์ขนของ หรือจริงๆจะเดินขึ้นบันไดหนีไฟมาจากชั้น 28 ก็ได้ โดยพื้นที่ด้านบนหลักๆจะเป็นสวนสีเขียวครับ ซึ่งก็จะมีจุดให้นั่งเล่นพักผ่อนและใช้งานอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ ได้แก่ Sky Co-Working Court และ Sky Kitchen Garden
นี่เป็นบรรยากาศทางเข้าและภาพรวมของสวนนะครับ สามารถขึ้นมาชมวิวหรือนั่งพักผ่อนได้
จุดแรกจะอยู่ทางขวามือเรียกว่า Sky Co-Working Court มีฟังก์ชันทั้งโต๊ะและเคาน์เตอร์บาร์ให้ใช้งาน เหมาะที่จะมานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือทานอาหารก็ได้ โดยเราชอบโซนนี้มากๆ เพราะเค้าจะอยู่ใต้ร่มไม้แบบนี้เลย หรือถ้าใครที่ขึ้นมาตอนช่วงบ่ายๆเป็นต้นไป ก็จะได้เงาของอาคารมาช่วงบังแดดด้วยเหมือนกัน
ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นโซน Sky Kitchen Garden มีโต๊ะให้มานั่งทานอาหารชมวิว พร้อมกับซิงค์ล้านจานอยู่ใกล้ๆให้ใช้งาน รวมถึงยังมี Sansiri Backyard ที่ทางโครงการจะปลูกพืชผักสวนครัวให้นำไปใช้ประกอบอาหารกันได้อีกด้วยครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
ชั้นที่ 1
- Statement Lobby
- Mail Box with Smart Locker
- EV Charger Station
- Delivery Area
ชั้นที่ 22
- Sky Lawn
- Seating Area
ชั้นที่ 27
- Semi-Outdoor Lounge
- Swimming Pool ขนาด 25 x 5 m.
- Laundry Room
ชั้นที่ 28
- Co-Working Space
- Focus Room (ห้องส่วนตัว/ห้องโทรศัพท์)
- Meeting Room
- Life Lounge
- Refreshment Bar with Vending Machine
- The Workout
- Body Studio with Pilates
- Pocket Garden
ชั้นที่ 29 (Rooftop)
- Sky Co-Working Court (Table & Bar Zone)
- Sky Kitchen Garden
- Sansiri Backyard
- Sky Garden
- ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
- Service Lift 1 ตัว
- ที่จอดรถ 54% (Auto Parking 162 + Conventional 7 = 169 ช่องจอด)
- ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ CCTV / Key Card และ Face Scan
แบบห้อง
Highlights :
- มีแบบห้องให้เลือกเยอะ รองรับความต้องการและ Lifestyle ของคนได้หลากหลาย
- ส่วนใหญ่เป็นห้องหน้ากว้าง ได้ช่องแสงเยอะ มีความโปร่งโล่ง
- แบ่งฟังก์ชันเป็นสัดส่วน ได้ความเป็นส่วนตัวไม่รบกวนกัน
- ชอบห้องที่เข้า-ออกห้องน้ำได้ 2 ทาง ทำให้สะดวกและเป็นส่วนตัว
- ขายแบบ Fully Fitted เหมาะกับคนที่อยากตกแต่งห้องเอง
The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) มีแบบห้องให้เราเลือกเยอะมากๆครับ แต่เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ ห้องแบบฝ้าเพดานปกติ (Simplex) และห้องแบบฝ้าเพดานสูง (Loft) โดยถ้าคิดเป็นสัดส่วนก็ยังคงเน้นเป็นห้อง Simplex เยอะถึง 70% ดังนั้นถ้าใครสนใจเป็นห้อง Loft ก็คงต้องรีบจับจองกันสักหน่อยนะครับ นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งห้องออกได้เป็น 1 Bedroom และ 2 Bedrooms ดังนี้
ห้องแบบ Simplex (ฝ้าเพดานปกติ)
- 1 Bedroom 1 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 27.00 – 36.75 ตร.ม.
- 2 Bedroom 1 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 45.50 – 46.75 ตร.ม.
- 2 Bedroom 2 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 58 ตร.ม.
ห้องแบบ Loft (ฝ้าเพดานสูง)
- 1 Bedroom 1 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 48 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 33.75 – 36.50 ตร.ม.)
- 2 Bedroom 1 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 68.4 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 46.00 ตร.ม.)
- 2 Bedroom 2 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 84.3 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 56.50 ตร.ม.)
วัสดุหลักๆภายในห้องพักอาศัย :
- ประตูทางเข้าห้อง : ติดตั้ง Digital Door Lock ยี่ห้อ Kaadas
- ลักษณะการขาย : Fully Fitted (ให้เฉพาะชุดครัว และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ)
- พื้นครัว : กระเบื้องแกรนิตโต้
- พื้นห้อง : ไม้ลามิเนต
- Built-in : ชุดครัวหน้าบานตู้ไม้ลามิเนต
- Top เคาน์เตอร์ครัว : หินสังเคราะห์สีขาว
- Backsplash : ติดตั้งกระเบื้องกันเลอะที่ผนังตรงเคาน์เตอร์
- เครื่องดูดควัน และเตาไฟฟ้า : จาก TEKA
- สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ : American Standard & Englefield
- Shower Box : ติดตั้งฉากกั้นกระจกพร้อมใช้งาน
- ประตู-หน้าต่าง : กรอบอลูมิเนียมพ่นสี พร้อมกระจกเขียวตัดแสง
มาเริ่มกันที่ห้อง 35 ตร.ม. แบบ Simplex ซึ่งเป็นแบบห้องมาตรฐานที่มีจำนวนเยอะที่สุดของโครงการ (ไม่ได้เป็นห้องเล็กสุดนะครับ) จุดเด่นแรกที่เราสะดุดตาและชอบมากๆคือ ‘ห้องน้ำ’ ที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทำให้มีทั้งความสะดวกและเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยมากๆ สมมุติเวลามีแขกมาหาก็ไม่จำเป็นห้องเดินผ่านห้องนอนเรานั่นเอง
นอกจากนี้ฟังก์ชันอื่นๆก็ยังมีความเป็นสัดส่วนมากๆ ได้ห้องครัวปิดที่สามารถทำครัวได้จริงจัง ห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบแยกเป็นส่วนตัว แถมยังมีมุม Walk-in Closet ให้ใช้งานอีกด้วย ส่วนใครที่ชอบนั่งดูทีวีตรง Living Area อยู่แล้วก็จะได้ตำแหน่งติดหน้าต่าง ชมวิวภายนอกเพลินๆไปได้เลยครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่เราคิดว่าเป็น Value ที่สุดของห้อง Type นี้ก็คือ ‘ตำแหน่งของห้อง’ เพราะเกือบทั้งหมดจะตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของโครงการ ที่ได้วิวเปิดโล่งไปทางสวน รฟม. ทำให้เราจะมีวิวพื้นที่สีเขียวสวยๆให้ชมได้จากในห้อง แถมยังเป็นวิวที่ค่อนข้างจะการันตีวิวได้ยาวๆว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเลยครับ
ประตูทางเข้าห้องเป็นไม้บานทึบ พร้อมช่องตาแมวและติดตั้ง Digital Door Lock มาให้เพื่อความปลอดภัย รวมถึงยังมีธรณีประตูที่จะช่วยป้องกันเศษฝุ่นหรืออื่นๆ ไม่ให้เข้ามาในห้องเราง่ายๆได้อีกด้วย
ฟังก์ชันแรกที่เข้ามาเจอคือ ‘ครัว’ ซึ่งปูพื้นด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย เหมาะกับตำแหน่งหน้าห้องที่ต้องใส่รองเท้าเข้า-ออก รวมถึงการทำอาหารก็จะได้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายนั่นเองครับ
พื้นที่ครัวกว้างประมาณ 1.3 x 2.4 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ แถมยังมีประตูกระจกบานเลื่อนที่สามารถทำเป็นครัวปิด ทำให้สามารถทำอาหารจริงจังได้ครับ
นอกจากนี้เรายังมองว่าประตูครัวยังมีส่วนช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ให้กับพื้นที่พักผ่อนในห้องอีกชั้นหนึ่งได้ด้วย เพราะเวลามีคนเดินผ่านไป-มาหน้าห้องก็จะไม่ได้ยินเสียงเลยนั่นเอง
เคาน์เตอร์ครัวทางโครงการจะ Built-in มาให้เป็นมาตรฐานแบบนี้เลยนะครับ (ยกเว้นเครื่องซักผ้าที่จะต้องหาซื้อมาเพิ่มเอง) โดยหน้าบานตู้ก็จะเป็นไม้ลามิเนตปกติ และชั้นวางก็จะทำมาให้จนสุดฝ้าเพดานเลยทีเดียว
ภายในตู้สามารถเก็บของได้เพียงพอต่อการอยู่อาศัย 1 – 2 คน แต่ที่เราชอบเป็นพิเศษคือ ตู้ด้านข้างสามารถเก็บได้ทั้งอุปกรณ์ครัวและรองเท้าหลายคู่มากๆเลย
ในส่วนของ Top เคาน์เตอร์ครัวจะเป็นหินสังเคราะห์สีขาว มีความสามารถทนความร้อนและความชื้นได้ดี รวมถึงยังไม่เป็นคราบง่ายอีกด้วย
ส่วนบนผนังจะติด Backsplash กระเบื้องกันผนังเลอะมาให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายๆ และเตาไฟฟ้า+ที่ดูดควันเป็นของ TEKA (ดูดออกภายนอกห้อง)
อีกด้านหนึ่งจะเป็นที่วางตู้เย็นขนาด 80 x 80 cm. และมีประตูทางเข้าห้องน้ำด้วย ซึ่งเดี๋ยวเราจะพาไปชมกันอีกทีในตอนท้ายนะ
ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นส่วนพักผ่อนของ Common Area ประกอบด้วย Living Area และที่วางโต๊ะทานอาหารที่คั่นอยู่ตรงกลางห้องติดกับครัว หรือใครอาจวางเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือด้วยก็ได้เหมือนกัน ส่วนพื้นห้องจะเปลี่ยนวัสดุเป็นไม้ลามิเนตดูเป็นธรรมชาติ และความสูงฝ้าเพดานคือ 2.55 m.
Living Area จะอยู่ติดกับช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าใช้งานที่สุดของห้อง เพราะเราสามารถดูทีวีไปพร้อมกับชมวิวภายนอกไปด้วยได้สบายๆเลยครับ ส่วนระยะดูทีวีจะกว้างประมาณ 2.7 m. สามารถใช้ทีวี 40 – 50 นิ้วได้พอดีๆ
ส่วนห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบแยกออกจากฟังก์ชันอื่นๆ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากๆ เวลามีแขกมาหาหรือจะแยกกันดูทีวีคนละเรื่องกับแฟนก็จะไม่รบกวนกันเลยครับ
ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้งานพอดีๆ ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็สามารถวางเตียง 5 ฟุตได้แบบนี้
พื้นที่รอบเตียงจะเหลือประมาณ 30 – 40 cm. ให้พอแทรกตัวเดินผ่านได้พอดีตัวเท่านั้น
รวมถึงเรายังสามารถติดทีวีปลายเตียงเพิ่มเติมได้ถ้าต้องการนะครับ
ด้านขวาของเตียงจะมีระเบียงให้เปิดออกไปใช้งานได้ ขนาดพื้นที่กว้าง 2.55 x 0.9 m. สามารถตากผ้าเล็กๆน้อยๆ เช่น ตากผ้าเช็ดตัว รวมถึงเค้าจะติด Condensing Unit เป่าลมร้อนออกไปด้านนอกแบบนี้มาให้ครับ
ส่วนทางด้านซ้ายของเตียงจะมีพื้นที่ Walk-in Closet และห้องน้ำแยกออกไปเป็นสัดส่วนแบบนี้เลย
ของจริงเราจะได้เป็นพื้นที่โล่งๆนะ แต่ก็สามารถ Built-in ทำเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะแต่งหน้าได้แบบห้องตัวอย่างนี้เลยครับ
สุดท้ายคือ ‘ห้องน้ำ’ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของห้อง เพราะสามารถเข้า-ออกได้ 2 ทางคือ จากในห้องนอนและห้องครัวในตอนแรก ทำให้มีความสะดวกและเป็นส่วนตัว เวลามีแขกมาก็จะได้ไม่ต้องเดินผ่านด้านในห้อง หรือถ้าเราจะใช้งานตอนช่วงกลางคืนจากในห้องนอนก็สะดวกมาก
สุขภัณฑ์ต่างๆภายในห้องน้ำเป็นของ American Standard และ Englefield ซึ่งทางโครงการจะติดตั้งมาให้แบบเลยครับ โดยเฉพาะกระจกที่เปิดเก็บของด้านในได้แบบนี้ส่วนตัวเราชอบมากๆ เพราะทำให้เก็บของได้เยอะ ดูเรียบร้อย และประหยัดพื้นที่ดีมาก
อีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็น Shower Box ที่กั้นประตูกระจกมาให้พร้อมใช้งาน รวมถึงด้านในยังติดตั้ง Rain Shower และที่วางแชมพูมาให้แล้วด้วย แต่เครื่องทำน้ำอุ่นสามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้เองนะครับ (เค้าจะทิ้งเป็น Junction เอาไว้ให้)
พื้นที่ยืนอาบน้ำกว้าง 1.2 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ ด้านบนฝ้ายังมีติดตั้งพัดลมดูดอากาศ และมีไฟส่องสว่างให้ 2 จุด ทำให้ห้องน้ำสว่างและใช้งานได้ดีมากขึ้น
พามาดูห้องแบบ Loft ที่ได้ฝ้าเพดานสูงกันบ้างครับ ซึ่งแบบห้องนี้ก็เป็นตัว Standard ของเค้าเลย ความพิเศษคือ ‘เป็นห้องหน้ากว้าง’ จึงสามารถแบ่งพื้นที่ฝ้าเพดานสูงและพื้นที่ 2 ชั้นออกได้เป็น 2 ฝั่งของห้องแบบนี้ ซึ่งต่างจากโครงการส่วนใหญ่ในย่านที่มักจะเป็นห้องหน้าแคบ และได้ฝ้าสูงเฉพาะตรงส่วนติดหน้าต่างด้านในเท่านั้น จึงทำให้ห้อง Loft ของ The Base Urban Rama 9 มีความโปร่งโล่งมากเป็นพิเศษ
สำหรับฟังก์ชันที่ได้ฝ้าเพดานสูงจะประกอบด้วย ครัวและ Living Area หมายความว่าเราจะไม่สามารถทำครัวปิดได้ อาจเหมาะกับคนที่ไม่เน้นทำครัวจริงจังเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังมีห้องนอนให้ใช้งานทั้งชั้นบนและชั้นล่าง โดยที่ชั้นบนจะมีขนาดใหญ่และได้ Walk-in Closet เป็นของตัวเอง แถมยังได้วิวมุมสูงในห้องอีกด้วย ส่วนห้องนอนล่างก็จะมีระเบียงเป็นของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดจะมีการแชร์ห้องน้ำร่วมกันที่ด้านหน้าห้องครับ
และนี่ก็คือบรรยากาศภายในห้อง Loft ซึ่งพอเราเข้ามาก็จะเจอกับส่วนของฝ้าเพดานสูง 4.4 m. ทันทีเลย ใครที่ชอบบรรยากาศความโปร่งโล่ง และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านคงจะถูกในไม่น้อย
บริเวณด้านหน้าห้องจะเป็นโซนครัว ซึ่งเค้าจะ Built-in ชุดครัวรูปตัว L แบบนี้มาให้เป็นมาตรฐาน ให้อารมณ์เป็นแบบ Pantry ฝรั่งดีเลยครับ เหมาะกับทำอาหารเบาๆเล็กๆน้อยๆ เพราะด้วยความเป็นฝ้าเพดานสูงอาจไม่เหมาะที่จะกั้นเป็นครัวปิดเท่าไหร่นัก
ถัดเข้ามาจะเป็นโซน Living Area ซึ่งจะอยู่ติดกับช่องแสงขนาดใหญ่ ทำให้สามารถดูทีวีไปและชมวิวไปด้วยได้สบายๆ อีกทั้งพื้นที่ยังเชื่อมต่อกับห้องนอนชั้นล่างด้วยประตูกระจก ทำให้มีบรรยากาศที่กว้างขวางและสว่างโปร่งโล่งมากขึ้นอีกด้วยครับ
ส่วนบรรยากาศเวลามองกลับเข้าไปในห้องก็จะเป็นประมาณนี้เลย และระยะดูทีวีกว้าง 2.4 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้พอดีๆ
ห้องนอนชั้นล่างกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ภายในกว้าง 2.7 x 3 m. สามารถวางเตียง 5 ฟุตแล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือให้ใช้งานสบายๆ หรือใครจะปรับเป็นห้องอื่นๆตาม Lifestyle ก็ได้ เช่น ห้องทำงาน เป็นต้น ส่วนฝ้าเพดานจะสูง 2.1 m. ครับ
อีกทั้งเรายังสามารถนอนดูทีวีจากปลายเตียงแบบนี้ได้ด้วยนะ หรือถ้าใครต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ก็อาจติดม่านทึบเอาไว้เลื่อนปิดเวลามีแขกมาก็ได้เหมือนกัน
ด้านขวาของเตียงจะเป็นระเบียงขนาด 2.1 x 0.9 . สามารถออกไปใช้งานได้ เช่น วางเครื่องซักผ้าและตากผ้า โดยระเบียงนี้จะสูงขึ้นไปจนถึงชั้นลอยด้านบน และติดตั้ง Condensing Unit เอาไว้ด้านบนโน่นเลย ทำให้สามารถใช้งานพื้นที่ด้านล่างได้เต็มที่ครับ
ห้องน้ำจะอยู่บริเวณด้านหน้าติดกับประตูทางเข้า ภายในมีฟังก์ชันมาตรฐานที่เหมือนกับห้องตัวอย่างก่อนหน้านี้เลยครับ สามารถใช้งานได้ตามปกติ
พื้นที่ยืนอาบน้ำกว้าง 1 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ จุดที่เพิ่มเข้ามาก็จะเป็นช่องวางของตรงผนังที่มีขนาดใหญ่ และสามารถวางของได้เพิ่มมากขึ้น
บันไดทางขึ้นกว้าง 90 cm. สามารถใช้งานได้พอดีๆ แต่เวลาเดินขึ้น-ลงก็อาจต้องใช้ความระมัดระวังกันสักหน่อยนะครับ โดยเฉพาะตอนลุกมาเข้าห้องน้ำช่วงกลางคืน หรือตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
พื้นที่วางเตียงนอนกว้าง 2.9 x 2.7 m. สามารถวางเตียง 5 ฟุตแล้วยังมีพื้นที่รอบๆเหลือให้ใช้งานสบายๆ รวมถึงฝ้าเพดานก็จะสูงประมาณ 2.05 m. ทำให้เดินได้เต็มความสูงปกติ
นอกจากนี้เรายังสามารถมองเชื่อมต่อลงไปยังชั้น 1 ของห้องได้แบบนี้ด้วยครับ ซึ่งสำหรับใครที่อยากประหยัดค่าแอร์ไม่ต้องเปิดทั้งห้องตลอดเวลา ก็สามารถกั้นผนังกระจกเพิ่มเติมเองได้ หรือจะติดเป็นม่านไว้เลื่อนปิดตอนจะนอนก็ได้เหมือนกัน
อีกจุดหนึ่งที่พิเศษกว่าห้อง Loft ทั่วไปคือ ที่ชั้นบนนี้จะมีช่องหน้าต่างให้ชมวิวจากเตียงได้ด้วย ให้อารมณ์เหมือนเป็นห้องชั้น 2 ของบ้านแบบปกติเลยครับ
เพราะห้อง Loft ทั่วไปมักจะได้แสงจากส่วนของฝ้าสูงปลายเตียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ค่อยจะมีหน้าต่างเป็นของตัวเองแบบนี้เท่าไหร่นัก
อีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นพื้นที่ Walk-in Closet ซึ่งจะอยู่แยกออกไปแบบนี้
โดยบริเวณนี้จะกว้างประมาณ 1.4 x 2.7 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ หรือถ้าใครไม่สะดวกที่จะเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อแต่งตัว ก็อาจปรับห้องนอนด้านล่างเป็นห้องแต่งตัว แล้วทำพื้นที่ชั้นบนเป็นฟังก์ชันอื่นก็ได้แล้วแต่ไอเดียเลย
ส่วนบรรยากาศของห้องเปล่ามาตรฐานที่เราจะได้จริงๆจะเป็นอย่างไร สามารถคลิปชมได้ใน Gallery ด้านล่างนี้เลยครับ
ห้องแบบ Simplex ขนาด 27 ตร.ม. เป็นห้องไซส์เริ่มต้นของโครงการที่มีราคาจับต้องได้ง่ายสุด ลักษณะเป็นห้องแบบตอนลึกที่เราเจอได้บ่อยเกือบทุกโครงการของแสนสิริ จุดเด่นคือ Common Area ขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย Living Area และโซนเตียงนอนอยู่รวมกัน ทำให้มีความกว้างขวางและโปร่งโล่งมากขึ้น
ส่วนฟังก์ชันใช้งานอื่นๆอย่าง ครัว และห้องน้ำ จะอยู่แยกออกมาโซนด้านหน้าห้อง แน่นอนว่าสามารถทำอาหารได้จริงจัง แถมยังช่วยเป็น Buffer เพิ่มความเป็นส่วนตัวจากโถงทางเดินหน้าห้องได้อีกชั้นหนึ่งด้วยนั่นเอง
อีกห้องหนึ่งที่เราอยากพาทุกคนมาดูคือ 2 Bedroom ขนาด 58 ตร.ม. ซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษที่อยู่ตรงมุมอาคารฝั่งทิศเหนือเพียงห้องเดียวในชั้น แน่นอนว่าเป็นห้องที่ได้วิวเปิดโล่ง 2 ฝั่งเลย และมีอยู่ 2 ห้องนอน เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวมากๆ
โดยจุดที่เราชอบคือ ‘ครัว’ ที่มีขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าห้อง ทำหน้าที่ทั้งเป็น Floyer ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ภายในห้อง แถมยังได้บรรยากาศเหมือนเป็นครัวบ้านเดี่ยวด้วยนะครับ (ต้องลองไปดูของจริงเองแล้วจะรู้)
ส่วนบริเวณ Comon Area อาจมีลักษณะพื้นที่ทรงสามเหลี่ยมที่อาจจัดเฟอร์นิเจอร์ลงตัวได้ยากสักนิดนึง แนะนำให้ลองดีไซน์ตำแหน่งฟังก์ชันดูดีๆนะครับ หรือจะดูจากห้องตัวอย่างเป็นไอเดียก็ได้ เพราะตอนที่เราไปรีวิวก็รู้สึกว่าอยู่อาศัยได้จริงไม่ได้แย่อะไรเลย
แบบแปลน
สำหรับแบบแปลนห้องทั้งหมดที่เหลือ ถ้าใครสนใจก็สามารถคลิกชมใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
ราคา
The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) ราคา ณ วันที่ 2 กันยายน 2568
ราคาผ่อนต่อเดือนยกตัวอย่างจาก ดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาผ่อน 30 ปี*
สามารถคลิกดูอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันได้ที่ >> อัปเดต! ดอกเบี้ยบ้าน 2568 ทุกธนาคาร
ห้องแบบ Simplex (ฝ้าเพดานปกติ)
- 1 Bedroom 1 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 27.00 – 36.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.7 – 5.6 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 17,664 – 26,735 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 2,133 – 2,903 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 16,200 – 22,050 บาท - 2 Bedroom 1 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 45.50 – 46.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 6 – 7.6 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 28,645 – 36,284 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 3,595 – 3,693 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 27,300 – 28,050 บาท - 2 Bedroom 2 Bathroom พื้นที่ใช้สอย 58 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.1 – 8.6 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 33,897 – 41,058 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 4,582 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 34,800 บาท
ห้องแบบ Loft (ฝ้าเพดานสูง)
- 1 Bedroom 1 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 48 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 33.75 – 36.50 ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 4.4 – 6.4 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 21,006 – 30,555 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 3,792 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 28,800 บาท - 2 Bedroom 1 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 68.4 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 46.00 ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 6.8 – 8.5 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 32,464 – 40,580 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 5,403 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 41,040 บาท - 2 Bedroom 2 Bathroom (Loft) พื้นที่ใช้สอยประมาณ 84.3 ตร.ม. (พื้นที่โฉนด 56.50 ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 9 – 10 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 42,967 – 47,742 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 6,660 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 50,580 บาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted (ทางโครงการมี Optional เพิ่มเงินได้เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบเลยครับ ราคาขึ้นอยู่กับขนาดห้อง โปรดสอบถามอีกครั้ง)
- จอง 10,000 – 50,000 บาท
- ทำสัญญา 30,000 – 50,000 บาท
- ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม. (จ่ายครั้งเดียว)
- ค่าส่วนกลาง 79 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
Tips : แนะนำการขอสินเชื่อกับธนาคาร
เกณฑ์การพิจารณาการขอสินเชื่อจากธนาคาร ควรมีเงื่อนไขตรงกับข้อไปนี้ค่ะ
- มีรายรับชัดเจน สม่ำเสมอ(ไม่ผันผวน) ต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน และสามารถตรวจสอบได้
- ควรมีภาระหนี้รวมทั้งหมด (ทั้งบ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต และอื่นๆ) ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน
- มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าค่าผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3 เท่าขึ้นไป
หากต้องการผ่อนบ้านให้หมดไว แนะนำให้โปะเพิ่มประมาณ 10% ของงวดผ่อน จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้ 4 – 7 ปี (ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย) และควร Refinance หรือ Retention เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 3 ปี ทั้งนี้อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและตกแต่ง*ก่อนเข้าอยู่เพิ่มเติมด้วยนะคะ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
>>โปะบ้านหมดไว คำนวณได้เอง
>>โอนบ้านจบ อย่าใช้เงินหมด! ค่าใช้จ่ายแฝงเพียบ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ The Base Urban Rama 9 ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 9 และติดกับแยกผังเมือง ซึ่งเป็นจุดที่มีการเดินทางด้วยรถยนต์สะดวกมาก เพราะใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 1 km. หรือเราจะใช้เส้นทางจากถนนวัฒนธรรม-เทียมร่วมมิตรที่อยู่ข้างๆ เพื่อกลับเข้าเมืองไปรัชดา-ลาดพร้าวได้สะดวกมากๆ ส่วนความอุดมสมบูรณ์ของโซนนี้ไม่ต้องบอกทุกคนก็น่าจะรู้กันดี ว่าเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานขนาดใหญ่
ดังนั้นโครงการนี้จึงเหมาะกับ คนที่มองหาคอนโดพร้อมอยู่ตรงโซนพระราม 9 หรืออาจเป็นนักลงทุนที่อยากปล่อยเช่าให้กับชาวออฟฟิศ และยังมีกลุ่มของชาวต่างชาติที่เยอะมากๆอีกด้วย แต่จุดที่เราว่าเด่นไม่เหมือนใครในย่านเลยก็คือ วิวจากทางฝั่งทิศตะวันออกที่ไม่มีตึกสูงบังเลย และสามารถมองเห็นพื้นที่สีเขียวของสวน รฟม. ได้นั่นเองครับ
การเดินทางโดยใช้รถ : แน่นอนว่าเป็นจุดเด่นของทำเลนี้ที่ไปขึ้นทางด่วนศรีรัชได้สะดวกสุดๆ เพราะใกล้โครงการเพียง 1 km. เท่านั้น รวมถึงยังใช้เส้นทางถนนวัฒนธรรม-เทียมร่วมมิตรเพื่อไปรัชดา-ลาดพร้าวได้ดีอีกด้วย ทำให้เราคิดว่าจะต้องมีคนใช้รถกันเยอะแน่ๆครับสำหรับโครงการนี้ ซึ่งแสนสิริก็ได้คิดเผื่อมาให้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยการให้ที่จอดรถมาเยอะถึง 54% เรียกได้ว่าเยอะเป็นอันดับต้นๆของย่านเลยทีเดียว ทำให้ตอบโจทย์ลูกบ้านในอนาคตได้เป็นอย่างดี
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ย่านนี้มีรถไฟฟ้าให้ใช้งาน 2 สายคือ MRT สายสีน้ำเงิน ใกล้สุดคือสถานีพระราม 9 ห่างจากโครงการ 800 m. อาจไม่ได้เป็นระยะเดินได้ แต่ถ้าเป็นสายสีส้มในอนาคตที่สถานี รฟม. จะอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 300 m. น่าจะเดินถึงได้สบายๆ ตอบโจทย์การเดินทางเลี่ยงรถติดของทำเลย่านนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
วัสดุ : ขายแบบ Fully Fitted คือได้เฉพาะชุดครัว และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ดังนั้นเราอาจต้องเผื่องบประมาณในการตกแต่งห้องเพิ่มเติมเองด้วยนะครับ โดยสเปควัสดุเรามองว่าให้มาเป็นมาตรฐานคอนโดทั่วไปเลย
การออกแบบโครงการ : โดดเด่นเรื่องความเป็นส่วนตัวมากๆครับ เพราะมีเพื่อนบ้านเพียง 311 ยูนิต ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านในย่านส่วนใหญ่จะมีเป็นหลักพันเลยนะ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย รวมถึงยังมีการวางผังห้องเป็นแบบ Single Corridor คือไม่ต้องเปิดประตูมาเจอเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามเลย จำนวนยูนิตต่อชั้นก็น้อยเพียง 12 – 17 ห้องเท่านั้น ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีกครับ โดยห้องพักส่วนใหญ่ที่เป็น Type หลักๆ ก็จะอยู่ในทิศที่ได้วิวเปิดโล่งไปทางสวน รฟม. อีกด้วย สรุปเลยนะครับว่า ถ้าใครกำลังมองหาคอนโดที่มีความเป็นส่วนตัวและได้วิวที่เปิดโล่งด้วย นี่จะเป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่โครงการที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเลยทีเดียว
การออกแบบห้องพักอาศัย : มีแบบห้องให้เลือกเยอะมาก ตอบโจทย์ความต้องการของคนที่มี Lifestyle ที่แตกต่างกันได้ดีเลย โดยจะแบ่งออกเป็นห้องปกติ (Simplex) และห้องฝ้าเพดานสูง (Loft) ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเป็นห้องหน้ากว้าง ทำให้ภายในมีความโปร่งโล่ง ช่องแสงก็เยอะ ห้องเลยสว่าง และเปิดรับวิวภายนอกได้ดี
สำหรับห้อง 1 Bedroom แบบ Simplex เราชอบที่ห้องน้ำสามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง และยังได้ครัวปิดที่ทำอาหารได้จริงจัง ส่วนห้อง Loft ก็ได้บรรยากาศไม่เหมือนใคร เพราะเข้ามาก็จะเจอกับฝ้าเพดานสูง 4.4 m. เลยทันที แตกต่างจากเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ที่จะเจอฝ้าปกติตรงหน้าห้องก่อน ดังนั้นใครที่กำลังมองหาหรือชื่นชอบห้องลักษณะเหล่านี้อยู่ ก็สามารถเข้าไปดูห้องจริงวิวจริงได้แล้ววันนี้
สาธารณูปโภค : มีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบ โดยส่วนใหญ่จะเน้นเป็นพื้นที่นั่งทำงานอย่าง Co-Working Space รวมถึงจุดที่เราชอบมากๆก็คือ สระว่ายน้ำในร่มบนชั้น 27 เพราะสามารถใช้งานได้จริงตลอดทั้งวัน แถมยังว่ายน้ำไปชมวิวสวนด้านข้างไปด้วยได้อีก นอกนั้นก็จะเป็นพื้นที่สีเขียวที่สอดแทรกอยู่ทุกชั้นของส่วนกลางเลยครับ
แต่ด้วยความที่เป็นโครงการขนาดเล็ก บางคนอาจรู้สึกว่าส่วนกลางไม่ได้ใหญ่มากนัก เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่เป็นโครงการใหญ่ๆ แต่ถ้าเทียบกับจำนวนยูนิตของตัวโครงการเองที่มีเพียง 311 ยูนิต เรามองว่าส่วนกลางที่ให้มาก็เยอะเหลือเฟือ ให้เราได้มาใช้กันสบายๆไม่แออัดเลย
เพียงแต่ค่าส่วนกลางก็ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกันครับ เพราะมีเพื่อนบ้านช่วยกันแชร์น้อย แถมยังมี Auto Parking ที่มีค่า maintenance ค่อนข้างสูงอีกด้วย โดยทางโครงการก็คำนวณเผื่อเอาไว้ในอนาคตให้แล้วล่ะ ว่าเก็บเท่านี้น่าจะ cover เพียงพอ ไม่ต้องเก็บเพิ่มอีกในอนาคต ยังไงก็ลองพิจารณากันได้นะครับ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 128,000 บาท/ตร.ม., 2 กันยายน 2568
- ทำเล 8/10 – มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศ และการเดินทางสะดวก ที่สำคัญคือ ได้วิวเปิดโล่งของสวน รฟม. อีกด้วย
- เดินทางด้วยรถ 8.75/10 – สะดวกมาก ใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 1 km. มีที่จอดรถเยอะ 54%
- ไม่ใช้รถ 8/10 – มีตัวเลือกเป็นรถไฟฟ้าให้ใช้งานได้ 2 สาย และเรียกรถสาธารณะหน้าโครงการได้ไม่ยาก
- วัสดุ 7.5/10 – Fully Fitted มาตรฐานตามระดับราคา ต้องเผื่องบแต่งเพิ่ม
- แบบ 8.5/10 – มีความเป็นส่วนตัวสูง แบบห้องเยอะ เน้นหน้ากว้าง สว่างโปร่งโล่ง
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – มีฟังก์ชันหลักให้ใช้ครบ คนแชร์น้อย ค่าส่วนกลางค่อนข้างสูง
- UPPER-HIGH CLASS
- 8.04 / 10.00
The Base Urban Rama 9 เหมาะกับใคร
The Base Urban Rama 9 (เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9) เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดพระราม 9 ใกล้แยกผังเมือง ใกล้ทางด่วนศรีรัช เดินทางด้วยรถยนต์สะดวก และต้องมีที่จอดรถเยอะๆ อาจเป็นได้ทั้งคนที่ซื้ออยู่เองก็ดี หรือนักลงทุนก็ได้ จุดเด่นโครงการคือ เน้นความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตที่น้อย และการวางผังห้องเป็น Single Corridor มีแบบห้องให้เลือกเยอะทั้ง Simplex และ Loft เน้นห้องหน้ากว้างบรรยากาศโปร่งโล่ง มีส่วนกลางให้ใช้งานครบ แต่อาจต้องมีงบทั้งการตกแต่งห้องเพิ่มเติม และค่าส่วนกลางที่ค่อนข้างจะสูงพอสมควร โดยต้องมีงบประมาณ 3.7 – 10ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนที่ 17,664 – 50,580 บาท
Think of Living รวบรวมมาให้แล้ว!
โครงการเปิดใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ในทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในทุกๆเดือนย้อนหลัง ใครที่กำลังมองหาบ้านห้ามพลาด อาจจะมีโครงการในราคาและทำเลที่เพื่อนๆ ตามหาอยู่ก็เป็นได้นะ
เข้ามาชมบทความรายเดือนได้เลย คลิกที่นี่