ภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมปี 2568 ที่ผ่านมาฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี ร่วมกับปรากฏการณ์ ลานีญา ทำให้ความชื้นในบรรยากาศสูง มีปริมาณฝนสะสมสูงกว่า 300-500 มิลลิเมตรในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ทำให้พื้นที่ทั้งจังหวัดสงขลา ปัตตานี พัทลุง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา และสตูล เกิดน้ำท่วมสูง

Think of Living เราเลยรวบรวมสิทธิ์ช่วยเหลือน้ำท่วมทั้งจากภาครัฐและธนาคารพาณิชย์ รวมถึงวิธีเช็กความเสียหายของบ้านหลังน้ำท่วม 5 ขั้นตอนมาฝากด้านล่างบทความนี้ เพื่อไม่ให้เกินอันตราย ที่ไม่ว่าจะน้ำท่วมรอบไหนก็จะต้องตรวจเช็กให้ดีก่อนเข้ากลับเข้าไปในบ้านค่ะ

 

รวมสิทธิ์เยียวยาช่วยเหลือน้ำท่วม ที่’ทุกคน’ได้รับ

 

คนที่ประสบภัยน้ำท่วมไม่ใช่เพียงแค่ชาวหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนในทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยสามารถขอรับเงินเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐบาลในกรณีประสบภัยพิบัติน้ำท่วมได้ค่ะ

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศมาตรการ ‘เงินเยียวยาน้ำท่วม 2568′ โดยจะมอบเงินเยียวยากับผู้ประสบภัยน้ำท่วมแบบเหมาจ่าย 9,000 บาท/ครัวเรือน เป็นเงินก้อนแรกที่ทำการโอนให้ผู้ประสบภัยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ใน 4 รูปแบบ คือ

1 น้ำท่วมไม่นาน แต่ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
– ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

2 น้ำท่วมต่อเนื่องยาวนาน
– ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วันขึ้นไป

3 น้ำไม่ได้ท่วมบ้าน แต่ถูกน้ำล้อมรอบจนได้รับผลกระทบ
– ที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป

4 อยู่บนอาคารสูงที่ถูกน้ำท่วม ด้านล่างจนได้รับผลกระทบ
– ที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัย แต่ส่งผลกระทบให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป

จะเห็นว่าครอบคลุมทั้งคนที่โดนน้ำท่วมโดยตรงและคนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรอบข้าง ทำให้ชีวิตประจำวันได้รับความลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินทางไม่ได้ เสี่ยงอันตราย น้ำประปาไม่ไหล หรือไฟฟ้าดับ เป็นต้น นอกจากนั้นยังได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติมแบบขั้นบันไดกรณีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานเพิ่มเติมจาก 9,000 บาทแรก โดยจะใช้สำหรับ ‘บ้านอยู่อาศัยจริง’ ในพื้นที่ประกาศเขตภัยพิบัติ ดังนี้

  • น้ำท่วม 31-60 วัน ครัวเรือนละ 5,000 บาท
  • น้ำท่วม 61-90 วัน ครัวเรือนละ 10,000 บาท
  • น้ำท่วม 91-120 วัน ครัวเรือนละ 15,000 บาท
  • น้ำท่วม 121 วันขึ้นไป ครัวเรือนละ 20,000 บาท

สามารถลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาได้ 2 ช่องทาง

1 ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://flood68.disaster.go.th จากนั้นติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยืนยันการได้รับผลกระทบ

2 ยื่นคำร้องด้วยตนเองผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัย เช่น องค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.), เทศบาล โดยใช้แบบยื่นคำร้องเว็บไซต์ https://flood68.disaster.go.th และตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบราชการภายใน โดยไม่ต้องแนบสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือหนังสือรับรองอื่นๆ (แต่ควรมีบัตรประชาชนตัวจริงติดตัวไปด้วย)

รัฐบาลได้ประกาศเยียวยาค่าปลงศพให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ ปี 2568 จำนวน 2,000,000 บาท/คน เป็นเงินจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย 1 ล้านบาท และจากงบกลางอีก 1 ล้านบาท โดยครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ โดยไม่ต้องออก พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพิ่มเติม

นอกเหนือจากเงินเยียวยา 9,000 บาท/ครัวเรือนแล้ว ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562* ตามรายการด้านล่างนี้ ซึ่งต้องรีบแจ้งสิทธิ์หลังจากประกาศพื้นที่ภัยพิบัติภายใน 90 วันด้วยค่ะ

ด้านการดำรงชีพ สำหรับจัดหาสิ่งของดำรงชีพเบื้องต้น

  • ค่าอาหารจัดเลี้ยง มื้อละ 50 บาท
  • ค่าถุงยังชีพ ไม่เกิน 700 บาท
  • ค่าจัดหาน้ำบริโภคและใช้สอย ตามความจำเป็น
  • ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพเบื้องต้น(กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง) 3,800 บาท
  • เครื่องนุ่งห่ม(ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้) รายละไม่เกิน 1,000 บาท
  • เครื่องมือประกอบอาชีพหรือเงินทุน (ผู้ประสบภัยเป็นอาชีพหลักหาเลี้ยงครอบครัว) ครอบครัวละไม่เกิน 11,400 บาท
  • เครื่องครัวและอุปกรณ์ประกอบอาหาร (สูญหายหรือไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้) ครอบครัวละไม่เกิน 3,500 บาท
  • เครื่องนอน (สูญหายหรือไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้) คนละไม่เกิน 1,000 บาท

ด้านการดำรงชีพ สำหรับช่วยเหลือผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

  • บาดเจ็บสาหัส (รักษาตัวในโรงพยาบาลติดต่อกัน 3 วันขึ้นไป) ช่วยเหลือเบื้องต้น 4,000 บาท
  • บาดเจ็บถึงขั้นพิการ (ไม่สามารถประกอบอาชีพตามปกติได้) ช่วยเหลือเบื้องต้น 13,300 บาท
  • กรณีสาธารณภัยขนาดใหญ่หรือรุนแรง (ต้องรักษาตัวในสถานพยาบาลจ่ายเงินหรือส่งของปลอบขวัญ) รายละไม่เกิน 2,300 บาท
  • ค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต รายละไม่เกิน 29,700 บาท <หรือค่าทำศพจากรัฐบาล 2 ล้านบาทอย่างใดอย่างหนึ่ง>
  • เงินสงเคราะห์ครอบครัว (กรณีหัวหน้าครอบครัวหรือผู้หารายได้เลี้ยงดูครอบครัวเสียชีวิต) ครอบครัวละไม่เกิน 29,700 บาท

ด้านการดำรงชีพ สำหรับที่พักชั่วคราว

  • ค่าดัดแปลงสถานที่ (สำหรับเป็นที่พักชั่วคราว) ครอบครัวละไม่เกิน 2,500 บาท
  • ค่าผ้าใบ/พลาสติก/วัสดุอื่นๆ (สำหรับกันแดดกันฝน) ครอบครัวละไม่เกิน 1,000 บาท
  • ค่าจัดหาสาธารณูปโภค (ในที่พักชั่วคราว) ตามความจำเป็น

ด้านการดำรงชีพ สำหรับค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้าง

  • ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำ (ได้รับความเสียหาย ผู้ประสบภัยเป็นเจ้าของ) หลังละไม่เกิน 49,500 บาท
  • ค่าซ่อมแซม หรือสร้างยุ้งข้าว โรงเรือนสำหรับเก็บพืชผลและคอกสัตว์ที่ได้รับความเสียหาย ครอบครัวละไม่เกิน 5,700 บาท

คนที่มี ‘ประกันสังคม’

สำนักงานประกันสังคมได้ออกมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูนายจ้างและผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบโดยจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย กรณีเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานหรือสถานประกอบการไม่สามารถประกอบกิจการได้ โดยผู้ประกันตนจะได้สิทธิประโยชน์ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันสูงสุดไม่เกิน 180 วัน

หากผู้เสียชีวิตเป็นผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมมาตรา 33, 39, 40 ทายาทสามารถขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มเติมได้ 3 ข้อดังนี้

1 เงินค่าทำศพ

  • ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 รายละ 50,000 บาท
  • ผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือกที่ 1-2 รายละ 25,000 บาท
  • ผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 รายละ 50,000 บาท

2 เงินสงเคราะห์กรณีตาย (สำหรับมาตรา 33,39)

  • สำหรับผู้ประกันตนที่มีการส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือนได้รับในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง คูณ 4
  • สำหรับผู้ประกันตนที่มีการส่งเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป ได้รับในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง คูณ 12

3 เงินบำเหน็จชราภาพ (สำหรับมาตรา 33,39)

ตามระยะเวลาส่งเงินสมทบ

คนที่ “มีประกันบ้าน หรือ ประกันน้ำท่วม” ต้องทำอย่างไร

นอกเหนือจากเงินเยียวยาจากรัฐบาลแล้ว คนที่ทำประกันบ้านเอาไว้ก็สามารถเคลม รับเงินชดเชยกรณีประสบภัยน้ำท่วมได้อีกช่องทางหนึ่งค่ะ โดยภัยธรรมชาติประเภทอุทกภัยนั้นมักจะผูกอยู่กับ ‘ประกันอัคคีภัย’ หรือที่หลายคนเรียกรวมๆว่า ‘ประกันบ้าน’ นั่นเอง

โดยจะให้ความคุ้มครองกับทรัพย์สินต่อไปนี้ ตามวงเงินที่ได้ทำไว้โดยบ้านแต่ละหลังจะมีทุนประกันที่แตกต่างกันไป (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 70% ของราคาบ้าน)

  • อาคารที่พักอาศัย (ไม่รวมฐานราก) : เวลาเกิดเหตุเพลิงไหม้หรือน้ำท่วม ส่วนใหญ่จะเกิดความเสียหายบริเวณเหนือพื้นดินขึ้นมา ซึ่งประกันจะคุ้มครอง รวมไปถึงส่วนต่อเติมของอาคารด้วย แต่ในที่นี้จะต้องเป็นส่วนที่อยู่ติดกันหรือใช้โครงสร้างเดียวกับอาคารหลักเท่านั้น
  • ทรัพย์สินต่างๆ ภายในสิ่งปลูกสร้าง : ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เราสามารถใช้เอาประกันและได้รับความคุ้มครองได้ทุกชิ้น (ยกเว้นกรณีของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นตัวต้นเหตุของเพลิงไหม้)

ทรัพย์สินที่ไม่คุ้มครอง

  • เงิน/ทอง/อัญมณี/วัตถุโบราณ : สิ่งของที่พิสูจน์ได้ยากว่าเป็นของที่มีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน ดังนั้นทางบริษัทประกันบ้านทั่วไปจึงมักจะไม่คุ้มครอง
  • เอกสารต่างๆ /ภาพวาด/แบบแปลน/เอกสารทางการเงิน : พวกวัตถุประเภทกระดาษทั้งหมดที่ถูกเผาไหม้ สูญหาย และทำลายได้ง่าย
  • วัตถุระเบิด/ปืน : ถือเป็นวัตถุประเภทอาวุธ ซึ่งทางบริษัทประกันก็จะไม่คุ้มครอง

 

มาตรการ ‘ธนาคาร’ ที่ใช้ได้ทันที

 

หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงปัจจุบัน มีคนจำนวนหลักล้านคนที่ได้รับผลกระทบ บางคนสูญเสียทรัพย์สินที่จะใช้ทำมาหากินได้ และสูญเสียบ้าน ต้องใช้เงินเพื่อฟื้นฟูเป็นจำนวนมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินของไทย จึงได้ออกมาตรการมาช่วยเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดค่ะ โดยมาตรการจะครอบคลุมทั้งลูกค้าทั่วไปที่เป็นรายย่อย เป็นเกษตรกร รวมไปถึง SME ซึ่งจะแบ่งมาตรการเยียวยาออกเป็น 2 ประเภท

1 มาตรการลดภาระหนี้สินเดิม 

  • พักชำระหนี้ : พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยนานสูงสุด 3 – 12 เดือน (ขึ้นอยู่กับธนาคาร) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถนำเงินมาใช้จ่ายในช่วงฉุกเฉินได้
  • ลดค่างวดผ่อนชำระ : ปรับลดค่างวดลงสูงสุด 75% หรือปรับเป็นจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเพื่อให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องมากขึ้น
  • ขยายเวลาชำระหนี้ : หากไม่ได้ลดดอกเบี้ย การขยายเวลาในการชำระหนี้จะช่วยให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง เพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้มากขึ้น

2 มาตรการเติมทุนใหม่เพื่อฟื้นฟู

  • สินเชื่อฉุกเฉินและซ่อมแซม : สำหรับนำไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ 0% ในช่วง 3 – 6 เดือนแรก
  • วงเงินฟื้นฟูกิจการ : ให้วงเงินตั้งแต่ 50,000 ถึง 15 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการดำเนินกิจการ
  • เงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษ : มีเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษให้ลูกหนี้ เช่น การปลอดชำระเงินต้น 1 ปี, ฟรีค่าธรรมเนียม หรือค่าธุรกรรมต่างๆ หรือยกเว้นหลักประกัน เป็นต้น

ธนาคารรัฐบาล

สำหรับสถาบันการเงินของรัฐบาลและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีบ้าน, สถานประกอบกิจการใน หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัยตามประกาศของกองอำนวยการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สามารถเข้าร่วมโครงการทั้ง 3 ข้อด้านล่างนี้ได้

 1 โครงการช่วยเหลือ 

ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ให้ลูกหนี้สามารถนำเงินมาใช้ในช่วงเวลาฉุกเฉิน นำมาใช้จ่าย ซ่อมแซม สิ่งของที่พังหรือหายไปเพราะน้ำท่วม จนสามารถตั้งหลักให้กลับมาดำเนินชีวิตปกติได้

  • พักเงินต้นและยกดอกเบี้ย รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี
  • ยื่นขอเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569

  • ลูกหนี้สถานะบัญชีปกติ ระหว่างพักชำระหนี้ ดอกเบี้ย 0%
  • ลูกหนี้บัญชีที่อยู่ในระหว่างปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ชำระตามเงื่อนไขของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

2 สินเชื่อเพื่อเยียวยา

ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ได้มีเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือเป็นทุนในการดำเนินธุรกิจต่อไป

  • สินเชื่อเพิ่มเติมจากวงเงินกู้เดิม รายละไม่เกิน 100,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ส่วนระยะเวลาและดอกเบี้ยปีที่ 2 ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร (สำหรับลูกหนี้สถานะบัญชีปกติ)
  •  ยื่นขอเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569

3 สินเชื่อเพื่อฟื้นฟู

สำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินเพิ่มขึ้นในระยะต่อมา ช่วยต่อเติมที่อยู่อาศัย หรือเป็นทุนในการดำเนินธุรกิจต่อไป

  • สินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ส่วนระยะเวลาและดอกเบี้ยปีที่ 2 ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร(สำหรับลูกหนี้สถานะบัญชีปกติ)
  •  ยื่นขอเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569

ในรายชื่อธนาคารดังต่อไปนี้

  • ธนาคารออมสิน ติดต่อ 1115
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ติดต่อ 02-555-0555
  • ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ติดต่อ 02-645-9000
  • ธนาคารเพื่อนการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน./ EXIM Bank) ติดต่อ 02-271-3700
  • ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว./SME Bank) ติดต่อ 1357
  • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท./IBank) ติดต่อ 1302

โดยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบนำหลักฐานแสดงที่อยู่อาศัย ภาพถ่าย และอื่นๆ ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบ ยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการได้ผ่านทาง Application ของธนาคาร หรือสอบถามผ่านทาง Call Center หรือที่สาขาของแต่ละธนาคารได้เลยค่ะ

ธนาคารพาณิชย์อื่น

สำหรับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เองก็มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เช่นกันค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่จะต้องรีบแจ้งเข้าร่วมโครงการภายในวันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568 (ระยะเวลาเข้าร่วมขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร)

โดยมีรายชื่อธนาคารที่ประกาศมาตรการออกมาแล้ว ดังนี้

  • ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)
  • ธนาคารกสิกรไทย (KBank)
  • ธนาคารกรุงไทย (KTB)
  • ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
  • ธนาคารยูโอบี (UOB)
  • ธนาคารทิสโก้ (TISCO)
  • ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
  • ธนาคารไทยเครดิต (TCB)
  • ธนาคารไอซีบีซี (ICBC)

เข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละธนาคาร

เงื่อนไข / ข้อควรระวัง

  • มาตรการของธนาคารแต่ละแห่งมีระยะเวลาในการสมัครเข้าร่วมโครงการไม่เท่ากัน ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่อสอบถามข้อมูลและสมัครเข้าร่วมโครงการภายในวันที่กำหนดค่ะ
  • มาตรการพักชำระหนี้ และสินเชื่อเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติมีวงเงินที่จำกัด ควรรีบติดต่อธนาคารที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ และวางแผนการใช้จ่ายอย่ารอบคอบ
  • ควรมีเอกสารแสดงภูมิลำเนาและภาพความเสียหายจากน้ำท่วม อย่าพึ่งรีบทิ้งสิ่งของหรือเคลียร์บ้านหากยังไม่ได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

วิธีเช็กความเสียหายของบ้านหลังน้ำท่วม 5 ขั้นตอน

 

น้ำลดลงจนแห้งหมดแล้ว..หลายคนคิดว่าแค่ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถกลับเข้าไปอยู่ได้เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่ควรเข้าอยู่นะคะ หากยังไม่ได้ตรวจเช็กความปลอดภัยและทำตามขึ้นตอนทั้ง 5 ข้อนี้ค่ะ

กฎเหล็กก่อนเข้าบ้าน 

ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อันตรายที่มักจะเกิดในช่วงน้ำท่วมที่เรามองไม่เห็นก็คือ ‘ไฟฟ้ารั่วไหล(ช็อต) ซึ่งถ้าหากน้ำยังไม่แห้งก็ยังไม่ควรเข้าไปในบ้านนะคะ หากน้ำแห้งแล้วเราก็ควรใส่รองเท้ายางหนาและหน้ากากอนามัย(ป้องกันฝุ่นและเชื้อรา) เพื่อไปตัดไฟฟ้าหลักของบ้าน และเดินสำรวจโดยรอบว่ามีสายไฟชำรุดอยู่หรือไม่ แล้วค่อยเริ่มขึ้นตอนการตรวจเช็กต่อไปนี้

1 ตรวจสอบพื้นที่ภายนอกและโครงสร้าง

ขั้นตอนแรกเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่บ้าน ให้เราตรวจโครงสร้างของอาคารภายนอก ว่ามีส่วนของ เสา คาน พื้นดินยุบหรือพังทลายบ้างหรือไม่ รวมถึงรอยแยกของผนังด้านนอก การเอียงตัวของบ้าน โดยจะใช้เครื่องมือวัดง่ายๆ อย่างไม้บรรทัด ไม้ฉาก หรือระดับน้ำเข้ามาช่วยดูก็ได้ค่ะ

ถ้ามีรอยแยกมากกว่า 3 มิลลิเมตร (ปกติไม่มี) ควรปรึกษาวิศวกรเพื่อเข้าไปตรวจเช็กอาคารอีกครั้ง แต่ถ้ามีการเอียงตัวของอาคารเพิ่มขึ้น มีร่องรอยแยกร้าว รอยทรุดตัวที่มองเห็นได้ชัดเจน ควรงดเข้าใช้อาคารจนกว่าจะมีการตรวจสอบและซ่อมแซมโดยวิศวกรค่ะ

การตรวจขั้นแรกเพื่อให้เราแน่ใจว่าจะปลอดภัยจากการพังลงมาของโครงสร้างเมื่อกลับเข้าไปใช้งาน

2 ตรวจระบบไฟฟ้า ประปา

ระบบไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญของบ้านเลยค่ะ ควรรอให้น้ำลดจนบ้านแห้งก่อน และยืนบนที่แห้งหรือสวมรองเท้าบูทเสมอ ห้ามเปิดตู้ไฟฟ้าเอง และไม่เปิดไฟฟ้าจนกว่าจะมีการตรวจสอบโดยช่างไฟ

หากต้องการใช้ไฟฟ้าบางส่วน ถ้ามีเครื่องตัดไฟรั่ว(RCD) ให้ทดสอบปุ่ม Test ถ้าทดสอบแล้วผ่าน ให้เปิดเบรกเกอร์ทีละโซน และใช้ไขควงวัดไฟตรวจสอบจุดที่น้ำท่วมด้วย หากพบเหตุไฟฟ้าขัดข้อง หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายจากน้ำท่วม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1129(PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง 1130(MEA) ได้ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ

สิ่งที่ควรระวังก็คือไม่ควรซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปียกน้ำเอง

3 ความชื้น และเชื้อรา

เชื้อราเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรระวังเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมค่ะ เนื่องจากความชื้นสูง และมีสิ่งสกปรกจำนวนมาก ที่เอื้อให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สวมถุงมือ และแว่นตาป้องกัน เปิดหน้าต่างให้สิ่งของต่างๆ แห้งเร็ว และระบายอากาศได้ดี ให้ตรวจสอบบริเวณผนัง พื้น ฝ้าเพดาน และเฟอร์นิเจอร์

หากเกิดคราบสีดำ คราบสีเขียวเข้ม กลิ่นอับชื้น จะต้องทำความสะอาด แซะสีที่บวมลอกออก ใช้แปรงขัดคราบเชื้อราออกเบาๆ ผสมน้ำด้วยสัดส่วนต่อไปนี้ (ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง)

  • น้ำส้มสายชู : น้ำส้มสายชู 1 ส่วน ต่อน้ำ 10 ส่วน พ่นไว้ 10-15 นาทีแล้วเช็ดออก
  • น้ำยาฟอกขาว : น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วน น้ำ 99 ส่วน พ่น ขัดเบาๆ แล้วล้างออก
  • แอลกอฮอล์ 80% : ใช้เช็ดได้เลย ไม่ต้องล้างออก
  • ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% : ใช้เช็ดสิ่งของ แล้วล้างออก

เมื่อกลับเข้าอยู่ในบ้านแล้วให้เปิดเครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA Filter เพื่อกรองสปอร์ของเชื้อราที่อาจลอยฟุ้งอยู่ในอากาศค่ะ

4 ตรวจวัสดุปิดผิว ภายใน-ภายนอก

ถัดจากเรื่องความปลอดภัย เรามาดูเรื่องการใช้งานกันบ้าง ให้ตรวจสอบผนัง, พื้น, ประตูหากทำด้วยวัสดุไม้ ดูว่ามีการหลุด พอง หรือผุหรือไม่ หากมีการเสียหายควรเปลี่ยนใหม่ หากผนังเป็นไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือสมาร์ทบอร์ด ตรวจสอบความชื้น บวม หรือมีเชื้อรา หรือวัสดุเหล็กที่เกิดสนิทผุกร่อนก็ควรเปลี่ยนใหม่เช่นกันค่ะ

ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้ง ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ Built-in ให้ตรวจสอบเรื่องเชื้อรา การบวม พอง หรือผุ แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งแล้วโดนน้ำท่วม เช่น เครื่องปรับอากาศ, เครื่องทำน้ำอุ่น ควรถอดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

5 ถ่ายภาพเก็บความเสียหายเพื่อเคลมประกัน

สุดท้ายอย่าลืมถ่ายภาพบ้านทุกมุม ‘ก่อนทำการรื้อ’ จดบันทึกระดับน้ำที่ท่วมสูงสุดเอาไว้ จดจุดที่เกิดความเสียหาย ตั้งแต่โครงสร้าง, ระบบไฟฟ้า ประปา และเชื้อรา รวมถึงถ่ายภาพสิ่งของที่เกิดความเสียหาย เพื่อน้ำไปเป็นหลักฐานในการเคลมประกัน

 

การออกแบบป้องกันน้ำท่วมในอนาคต 4 สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

หากตรวจเรื่องความปลอดภัยและการใช้งานเรียบร้อยแล้ว เรามาดูเรื่องการออกแบบเพื่อป้องกันหรือรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้อนาคตกันบ้างค่ะ

1 วางผังการใช้งานภายในบ้านให้ยืดหยุ่น

หากรู้ว่าพื้นที่ที่อาศัยอยู่มีความเสี่ยงน้ำท่วมเป็นประจำ อาจเลือกการออกแบบให้บ้านยกพื้นสูงจากระดับถนน หรือทำบ้านใต้ถุนสูง ออกแบบให้มีตู้ไฟฟ้าเมนบอร์ดอยู่ชั้น 2 ของบ้าน และฟังก์ชันหลักของบ้าน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ครัว ยกระดับสูงจากพื้นหน้าบ้าน

หากมีงบประมาณอาจเลือกใช้ประตูหน้าต่างที่สามารถกันน้ำเข้าได้ หรือเตรียมพร้อมทำผนังกั้นน้ำตลอดเวลา มีปั๊มน้ำ ถุงทราย แผ่นกั้นน้ำ และ แบตเตอรี่หรือเครื่องปั่นไฟฟ้าสำรองติดบ้านไว้ในกรณีฉุกเฉิน

2 ยกระดับสิ่งของภายในบ้านที่อาจเกิดอันตราย

หากระบบไฟฟ้าเสียหาย ต้องให้ช่างไฟมาเดินระบบไฟฟ้าใหม่ แนะนำให้ติดตั้งปลั๊กไฟในระดับที่สูงขึ้น วางเครื่องใช้ไฟฟ้าให้สูงจากระดับน้ำที่เคยท่วมสูงสุด (หากทำได้)

3 เลือกวัสดุกันน้ำ/ทนความชื้น

ถ้าต้องรีโนเวทบ้านใหม่ เลือกใช้วัสดุที่กันน้ำ เช่น ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค, พื้น SPC  ฉาบปูนกันความชื้น, กันซึมที่ผนัง งดการใช้ไม้จริงที่อาจบวม ผุ พองจากความชื้นได้

ซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ที่ทนความชื้นสูง เช่น เฟอร์นิเจอร์หินเทียม, คอนกรีตขัด, พลาสติก แบบลอยตัวที่สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก

4 ทำการออกแบบระบบระบายน้ำรอบบ้าน

สำหรับบ้านสวน หรือบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่เป็นพื้นที่เสี่ยงที่น้ำท่วมสูง แนะนำให้ทำคูระบายน้ำ หรือวางท่อระบายน้ำใต้ดิน ติดตั้งวาล์วน้ำ (Check Valve) ให้สามารถกันน้ำไหลย้อนเข้ามาในบ้านได้

ทำเนินดินกั้นน้ำรอบพื้นที่บ้าน หรือทำบ่อพักน้ำขนาดใหญ่เพื่อรองรับน้ำฝน พร้อมเลือกต้นไม้ที่ทนน้ำท่วมขังได้ดี พืชคลุมดินที่ทนน้ำ ช่วยกักเก็บน้ำและช่วยชะลอน้ำท่วมได้

 

หากเกิดเหตุการณ์อุทกภัยขึ้น ‘ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด’นะคะ ควรรอให้น้ำแห้งก่อนเข้าตรวจเช็กบ้าน สวมรองเท้ายางหนา ถุงมือ หน้ากากอนามัยและแว่นตาป้องกันก่อนเข้าพื้นที่ และไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหนควรถ่ายรูปเก็บเป็นหลักฐานก่อนเคลียร์บ้านเพื่อใช้ในการเคลมประกัน และใช้ในการขอสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือในโครงการต่างๆ จากทั้งรัฐบาล และธนาคารพาณิชย์ โดยรีบลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในระยะเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ Think of Living ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยให้กับผู้สูญเสียทุกท่าน พร้อมเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยทุกคนด้วยนะคะ หากผู้อ่านอยากให้เราทำบทความเรื่องใด สามารถคอมเมนต์บอกเราได้ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านล่างบทความนี้ Facebook Think of Living หรือ Youtube Think of Living ได้เลยค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

แหล่งอ้างอิง

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
  • สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย [เว็บไซต์]
  • คู่มือการปฏิบัติงานการจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย [คู่มือ]
  • สำนักข่าวไทยรัฐ
  • สำนักข่าวไทยพีบีเอส
  • สำนักข่าวบีบีซีไทย (BBC News)
  • Thai PFA (Thai Professional Finance Academy)
  • Some practical steps on recovery form flooding (Humber Local Resilience Forum,2024)
  • Flood recovery Checklist (The flood hub,2024)